ย้อนกลับไปเมื่อเดือน พ.ย.54 มีคดีดังสุดอื้อฉาวที่ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก สำหรับคดีการปล้นพันล้านสะท้านกรุง บ้าน ‘นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม’ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม โดยคดีนี้เกิดขึ้น เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย 54 ขณะที่ นายสุพจน์ เดินทางไปอวยพรวันแต่งงานของลูกสาวที่กำลังเข้าพิธีวิวาห์ ที่โรงแรมชื่อดังใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน ระหว่างที่นายสุพจน์ไม่อยู่บ้านได้มีโจรไอ้โม่งกลุ่มหนึ่งบุกบ้านเลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 ย่านวังทองหลาง กรุงเทพฯ ยามวิกาล ก่อนใช้เวลาก่อเหตุไม่นาน ก็ได้ทรัพย์สินจำนวนมหึมาออกมาแล้วหลบหนีลอยนวล

ตำรวจใช้เวลาไม่นานแกะรอยตามสืบสวน ต่อจิ๊กซอว์กระทั่งสามารถไล่จับกุมคนร้ายได้ ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น, นายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์, นายพงษ์ศักดิ์ นามวงศ์ ลูกชายของนายเสาร์แก้ว, นายสมบูรณ์ ริยะเทน, นายคำนวณ เมฆน้อย, นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน, นายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา นายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี, น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์, นายประพันธ์ เรียงเครือ และ นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย ยังคงเหลือเพียง นายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี หัวหน้าแก๊งปล้นที่หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน (ปัจจุบันจับกุมได้แล้ว) คนร้ายรับสารภาพว่า ได้วางแผนมานานหลายเดือน โดยให้เพื่อนร่วมแก๊งคนหนึ่งไปเช่าอพาร์ตเมนต์ที่ใกล้เคียงบ้านนายสุพจน์ และได้ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ กระทั่งได้โอกาสจึงลงมือก่อเหตุ และในระหว่างที่คนร้ายได้รื้อค้นทรัพย์สินในบ้านนายสุพจน์ ก็ไปพบกระเป๋าใส่เงินสด ประมาณ 700-1,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถนำออกมาได้หมด 

อย่างไรก็ตามภายหลังความตกตะลึงของสังคม ที่ทราบว่า นายสุพจน์เก็บเงินสดในบาทหลักพันล้าน นายสุพจน์ ก็ออกมาให้การว่า เงินที่คนร้ายได้ไปเป็นเงินสินสอด เป็นเงินเตรียมจัดงานแต่งลูกสาวราว 5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เกินมาไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่คดีนี้ในเวลาต่อมา ตำรวจสามารถตามเงินที่คนร้ายปล้นไปคืนมาได้กว่า 18 ล้านบาท พร้อมทองคำรูปพรรณอีก 10 บาท ซึ่งมูลค่าเกินกว่าคำกล่าวอ้างของนายสุพจน์ไปมาก จึงเกิดพิรุธทางคดีขึ้นอย่างมาก

ทำให้ในเวลาต่อมาหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์ชี้มูลว่า นายสุพจน์ “ร่ำรวยผิดปกติ” และสั่งอายัดทรัพย์เกือบ 65 ล้านบาทของนายสุพจน์ ที่ไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ พร้อมส่งเรื่องต่ออัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลให้ยึดทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน  

ก่อนที่ วันที่ 30 ม.ค.57 ศาลแพ่งได้พิพากษายึดทรัพย์นายสุพจน์ และครอบครัว รวม 19 รายการ มูลค่ากว่า 46 ล้านบาท ขณะที่นายสุพจน์ ยื่นอุทธรณ์สู้คดี กระทั่งในวันที่ 11 พ.ย. 58 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้ให้ยึดทรัพย์เพิ่มเป็น 65 ล้านบาท และในปี พ.ศ.2560  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุกนายสุพจน์ เป็นเวลา 10 เดือน และสั่งห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินกว่า 17 ล้านบาท และรถยนต์ ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน มูลค่าเกือบ 3 ล้านบาท

คดียืดเยื้อมาถึงเมื่อวันที่ 9 มี.ค.63 สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินของกลางต่อกระทรวงการคลัง ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โดยในส่วนของเงินสดได้จัดทำแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกระทรวงการคลัง ส่งมอบแก่ผู้แทนสำนักปลัดกระทรวงการคลัง และในส่วนของทองคำรูปพรรณจำนวน 2 เส้นน้ำหนักรวม 10 บาท ได้ส่งมอบแก่ผู้แทนกรมธนารักษ์ เพื่อดำเนินการให้ตกเป็นของแผ่นดินตามคำพิพากษาศาลแพ่ง ส่วนทรัพย์สินของกลางในคดีอาญาที่ 2458/2554 ของสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลางในส่วนอื่นที่สำนักงาน ป.ป.ช.เก็บรักษาไว้ ประกอบด้วย แหวนทองจำนวน 2 วง นาฬิกา 1 เรือน และกระเป๋าผ้าไนลอน พนักงานอัยการจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อบังคับคดีให้ตกแก่แผ่นดิน

สำหรับคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ อ.347/2555 นั้น ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.56 ให้จำคุก 12 ปีและปรับ 60 บาท นายสิงห์ทอง จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและยานพาหนะ ส่วนนายเสาร์แก้ว นามวงค์ กับนายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ริยะเทน จำเลยที่ 2-3 จำคุก 9 ปีและปรับ 45 บาท สำหรับนายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน และนายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา จำเลยที่ 4 และ 6 ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันรับของโจร ส่วนนายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน 

ขณะที่นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 8 ปีฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ส่วน นายประพันธ์ เรียงเครือ จำเลยที่ 7 พิพากษายกฟ้อง โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นคดีหมายเลขแดง อ.1119/2556

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ส.ค.65  เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.หนองคาย ได้จับกุม นายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊ง ได้สำเร็จ จึงทำตรวจสอบพบว่า มีหมายจับติดตัวในพื้นที่ สน.วังทองหลาง เบื้องต้นได้ประสานพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง เพื่อทำการรับตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.วังทองหลาง และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม คดีนี้แม้จะตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ครบแก๊ง แต่ยังเป็นที่คาใจของสัมคมอยู่มาก โดยเฉพาะเงื่อนงำ ‘จอมบงการ’ สั่งมาปล้น เขาคือใคร? และทำไมคดียาวนานร่วม 11 ปี ไม่เคยระแคะระคายไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังครั้งนี้เลย หรือจะกลายเป็นปริศนาคำถาม ที่ไม่มีวันได้รับคำตอบชั่วนิรันดร์…