เมื่อวันที่ 21 ก.ค. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จงใจใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย จงใจคุกคามละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายกาจ และอย่างที่สังคมไทยไม่เคยเจอมาก่อน โดยมีการจัดซื้อสปายแวร์ระดับอาวุธสงครามร้ายแรง 3 ชนิด ตั้งแต่ปี 57-65 หนึ่งในนั้นคือ สปายแวร์เพกาซัส ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา จากการเปิดรายงานของไอลอว์ ที่ระบุว่า นักวิชาการ นักกิจกรรม และนักสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 30 คน ถูกแฮกโดยเพกาซัส
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า อ้างอิงรายงานจาก Citizen Lab ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมในแคนาดา ที่เชี่ยวชาญด้านการติดตามการจารกรรมทางไซเบอร์และการใช้สปายแวร์ ระบุว่า พบการใช้เพกาซัสในไทยครั้งแรกตั้งแต่เดือน พ.ค.57 มีการทำงานในไทม์โซนหรือ เขตเวลาของไทย มีการใช้งานเพกาซัสอย่างต่อเนื่องมาจนถึงอย่างน้อยในปี 64 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการสั่งซื้อสปายแวร์อื่นๆ อีก ได้แก่ สปายแวร์ที่ชื่อ RCS จากบริษัท Hacking Team ในอิตาลี คู่แข่งของเพกาซัส โดยชื่อหน่วยงานที่ซื้อคือกรมราชทัณฑ์ ซื้อในปี 56 ในราคา 286,482 ยูโร หรือประมาณ 11.5 ล้านบาท บวกค่าธรรมเนียมการจัดการรายปีอีก 52,000 ยูโร หรือประมาณ 2 ล้านบาท และกองทัพบก ซื้อในปี 57 ในราคา 360,000 ยูโร หรือประมาณ 14.4 ล้านบาท
ทั้งนี้ตรวจสอบพบหลักฐานการเบิกจ่ายงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อซื้อชุดอุปกรณ์ค้นหาตำแหน่งโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Circles จำนวน 9 รายการ ในระหว่างปี 58-63 และพบอีก 10 รายการ ที่เบิกจ่ายงบประมาณซื้อชุดอุปกรณ์ค้นหาตำแหน่งโทรศัพท์มือถือเช่นเดียวกัน แต่ไม่ระบุยี่ห้อ โดยจากรายงานของ Citizen Labs ตรวจพบการใช้งานสปายแวร์ Circles โดยหน่วยงานราชการไทย 3 หน่วยงาน คือหน่วยข่าวกรองทหารบก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
ขอตั้งข้อสังเกตว่าการใช้สปายแวร์ระดับโลก ที่สามารถแฮกเข้าโทรศัพท์มือถือของประชาชนได้เพียงแค่รู้เบอร์โทรศัพท์ หรือ apple ID สามารถล้วงข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของเหยื่อ รวมถึงเปลี่ยนโทรศัพท์เหยื่อเป็นกล้องและอุปกรณ์ดักฟังตลอด 24 ชั่วโมง หากใช้กับอาชญากรร้ายแรง ป้องกันการก่อการร้าย หรือตามจับพ่อค้ายาเสพติด ก็คงไม่เป็นปัญหา คุ้มค่ากับเงินหลักพันล้านที่ใช้ซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ แต่ปรากฏว่าผู้ที่ถูกแฮก กลับกลายเป็นนักวิชาการ
ไม่ว่าจะเป็น น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.พรรคก้าวไกล นายปกรณ์ อารีกุล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นอาชญากรร้ายแรงใดๆ เพียงแต่เป็นผู้ที่เป็นศัตรูของระบอบประยุทธ์เท่านั้นในวันนี้ ชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ใช้อาวุธสงครามร้ายแรงอย่างสปายแวร์เพกาซัส กับอริราชศัตรู แต่กลับใช้กับประชาชน อ้างว่าใช้กับอาชญากร แต่แท้จริงตนเองนั่นแหละ กำลังประพฤติตนเป็นอาชญากรไซเบอร์ หันอาวุธสงครามใส่ประชาชนเสียเอง
นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า ขอเตือนประชาชนว่าอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว สปายแวร์สามารถถูกใช้สอดแนมใครก็ได้ ที่พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่าเป็นภัยต่อตนเอง ไม่แน่ว่าโทรศัพท์มือถือของพี่น้องประชาชนทุกวันนี้ อาจถูกแฮกโดยเพกาซัสแล้วก็เป็นได้ ถึงรัฐบาลจะอ้างว่ารัฐบาลเป็นประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง แต่หากมีพฤติกรรมสอดแนมประชาชนด้วยอาวุธสงครามไซเบอร์ที่ทรงอานุภาพแบบนี้ ตนยืนยันว่ารัฐบาลนี้เปรียบเหมือนรัฐบาลเผด็จการเต็มรูปแบบ ถือเป็นรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายกาจที่สุด และเป็นรัฐบาลที่คุกคามการพัฒนาอย่างใหญ่หลวงของประชาธิปไตย
“การกระทำนี้นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนรู้สึกหวาดกลัวต่อการถูกคุกคามแล้ว นักวิชาการ สื่อมวลชนจะทำหน้าที่อย่างเสรีได้อย่างไร เช่นเดียวกันนักการเมืองฝ่ายค้านเราจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าทุกก้าวมีคนมาคอยดู การวางแผนต่อสู้ทางการเมืองจะเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ รู้หมด ทำกับประชาชนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรสงครามที่ใช้อาวุธหันหน้าเข้าหาประชาชน ขบวนการโจมตีสอดแนมประชาชนในครั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดเพียงเป้าหมายเดียวคือการจัดการกับผู้ที่เห็นต่างกับรัฐบาลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ภัยความมั่นคงของประเทศชาติ ภายใต้รัฐบาลนี้ประชาชนทุกคนที่ไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลล้วนสามารถตกเป็นเหยื่อจากการคุกคามทุกรูปแบบตราบใดที่ยังมีนายกฯ ชื่อประยุทธ์” นายพิจารณ์ กล่าว