“อัฟกานิสถาน” ประเทศที่เราคุ้นหูจากข่าวสงครามและการก่อการร้าย ในอีกมุมหนึ่งที่แห่งนี้คือแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่รวบรวมผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เอาไว้ด้วยกัน เต็มไปด้วยร่องรอยการเปลี่ยนแปลงจากศาสนาพุทธในอดีตมาจนถึงอิสลามในปัจจุบัน เมื่อพฤษภาคม 2565 ทีม Saga Expeditions ได้ใช้เวลามากกว่า 1 เดือนในการออกสำรวจ 13 จังหวัดของอัฟกานิสถาน จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น.. มาร่วมติดตามไปพร้อมกันครับ
เดินทางเข้าประเทศอัฟกานิสถานได้อย่างไร
การเดินทางไปอัฟกานิสถานง่ายกว่าที่เราคิด เราเดินทางไปขอวีซ่าที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 วัน เนื่องจาก ณ ขณะนั้นเป็นช่วงก่อนที่ตาลีบันจะเข้ายึดอำนาจ ประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง บางจังหวัดถูกควบคุมโดยฝั่งรัฐบาล บางจังหวัดถูกคุมโดยฝั่งตาลีบัน ด้วยความที่เราสามารถเดินทางได้เพียงแค่ในฝั่งของรัฐบาลเท่านั้น การเดินทางจึงต้องซิกแซกไปมา รถบ้าง เครื่องบินบ้าง ผสมกันไปเพื่อให้ได้เส้นทางที่ลงตัว
ข้อดีของการเดินทางที่นี่อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าใครก็สามารถดูเหมือนชาวอัฟกันได้ ยกเว้นคนผิวสี เนื่องจากอัฟกานิสถานประกอบไปด้วย 3 ชาติพันธุ์หลักๆ ได้แก่ ชาวพัชตุน ซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับทางอาหรับและชาติตะวันตก ชาวทาจิก ที่มีหน้าตาเหมือนชาวเอเชียตอนกลาง และชาวฮาซารา ที่มีหน้าตาเหมือนพวกเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่ยากนักที่เราจะดูกลมกลืนไปกับท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องใส่ชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า ชาวาร์คามิส (Shalwar kameez) ด้วย
อัฟกานิสถานมีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง
มะซารีชะรีฟ (Mazar-i-sharif)
มะซารีชะรีฟ อยู่ทางตอนเหนือสุดของอัฟกานิสถาน และเป็นจุดหมายแรกเมื่อเรานั่งรถข้ามชายแดนมาจากอุซเบกิสถาน เมืองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากมัสยิดสีฟ้าอันสวยงาม อีกทั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าที่สำคัญเนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อกับโซนเอเชียกลาง
เราเข้าพักในโรงแรมกลางเมืองที่มีทั้งรั้วและทหารคุมอยู่อย่างแน่นหนา เนื่องจากมะซารีชะรีฟ ถือเป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัยในระดับหนึ่ง เราจึงสามารถออกมาเดินซื้อของฝากในตลาดได้อย่างสะดวก ทั้งพรมและสร้อยแหวนต่างๆ เป็นของฝากที่ขึ้นชื่อของที่นี่
คาบูล (Kabul)
บินข้ามมาที่คาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน ตัวเมืองพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและการจราจรที่ติดขัดตลอดเวลา สิ่งแรกที่เราสังเกตเมื่อมองขึ้นฟ้าได้คือ spy balloon บอลลูนสีขาวขนาดใหญ่ที่คอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของคนทั้งเมือง เพื่อป้องกันการก่อการร้ายต่างๆ เราจะเห็นบอลลูนนี้ได้ในเมืองหลักๆอย่างเช่น คาบูล มะซารีชะรีฟ และกันดาฮาร์
คาบูล เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่และทันสมัยผสมผสานกันไป ได้ช่วงกลางวันเราสามารถไปเดินชอปปิงได้ที่ chicken street ขับรถรอบ TV mountain เพื่อชมวิวเมือง ทานข้าวพักผ่อนริมทะเลสาบ Qargha
ถ่ายภาพด้วยกล้อง Kamra-e-faoree กล้องที่มีลักษณะเหมือนกล่องไม้อายุร้อยกว่าปี ได้รูปออกมาแบบคลาสสิกสุดๆ และในช่วงกลางคืนก็ยังมีสถานที่ร้านอาหารและขนมมากมาย รวมไปถึงลานโบว์ลิ่งอีกด้วย
บามิยัน-เดคุนดิ (Bamiyan-Daykundi)
จากคาบูลเราใช้เวลา 1 วัน นั่งรถมายังบามิยัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Hazarajat หรือดินแดนของชาวฮาซารา เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปบามิยัน ที่ถูกแกะสลักเข้าไปในผาหิน มีความสูงกว่า 55 เมตร แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกกลุ่มตาลีบันทำลายไปในปี 2011 ณ ขณะนั้น บามิยัน ถือเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในประเทศ โอบล้อมไปด้วยภูเขา ในตัวเมืองบรรยากาศสบายๆ ผู้คนยิ้มแย้มและไม่ค่อยเคร่งเรื่องการแต่งกายมากนัก
สถานที่ที่จะพลาดไม่ได้เมื่อมาถึงก็คืออุทยานแห่งชาติ Band-e-amir และทะเลสาบสีฟ้าสดใจจนเสมือนภาพวาด เหมาะแก่การเดินเขา ถ่ายภาพ ไปจนถึงสกีในฤดูหนาว
จากบามิยันเราใช้เวลาอีก 2 วันนั่งรถเลาะไปตามไหล่เขาไปยังเดคุนดิ อีกจังหวัดหนึ่งใน Hazarajat ที่แทบจะไม่มีคนนอกเข้ามาเยือนเลย เราแวะพักตามเมืองเล็กๆ ระหว่างทางที่มี Caravansarei หรือโรงแรมในสมัยก่อนที่ผู้สัญจรไปมาจะสามารถเข้ามาทานอาหารและนอนพักฟรี หรือจ่ายเงินเพื่อเช่าที่นอนในห้องได้ในราคาประมาณ 100 บาทต่อคืน เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าเชื่อว่ายังมีอยู่ในสมัยนี้ บ้านเมืองส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขาที่ห่างไกล ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่ทำนา เป็นส่วนหนึ่งของอัฟกานิสถานที่สงบอย่างแปลกหูแปลกตา ชาวบ้านบางคนได้บอกเราว่า เขาไม่รู้เลยว่ามีเหตุการณ์ไม่สงบอะไรเกิดขึ้นในประเทศบ้าง
กันดาฮาร์ (Kandahar)
กันดาฮาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่อันตรายที่สุดในทริป ขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของกลุ่มตาลีบัน และเป็นถิ่นของชาวพัชตุน เพื่อความปลอดภัย เราสามารถใช้เวลาที่นี่ได้เพียงแค่ 2 วัน 1 คืน โดยการบินไป-กลับจากเมืองคาบูล
ภูมิประเทศทางใต้รอบๆกันดาฮาร์ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย อากาศร้อนและแห้ง การเดินทางในตัวเมืองต้องเป็นไปอย่างมิดชิด โดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิง ที่จะต้องใส่ Niqab หรือ Burqa ปกคลุมทั้งศรีษะและใบหน้า
บรรยากาศรอบตัวเมืองค่อนข้างเคร่งขรึม แต่ก็ยังได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้คนท้องถิ่นที่เราพบเจอ เราได้เดินทางไปเยี่ยมชม Chil Zena ภูเขาเล็กๆที่เป็นทั้งป้อมปราการและจุดตะวันตกสุดของเมือง Red mosque of Kandahar มัสยิดสีขาว-แดง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้นำตาลีบันหลายคนมาสวดมนต์ในวันศุกร์
นูริสถาน (Nuristan)
นูริสถาน ถือเป็นดินแดนลี้ลับแห่งอัฟกานิสถาน ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีนักเดินทางต่างชาติสามารถเข้าไปได้เลย เนื่องจากตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศและใช้เวลาถึง 5 วันเพื่อเดินทางไป-กลับจากกรุงคาบูลโดยรถยนต์ นูริสถานเป็นบ้านเกิดชาว Nuristani หรือ Kafiristani กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับชาวยุโรปมาก บางคนตาสีฟ้า-เขียว บางคนผมสีทอง-น้ำตาล ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มสันนิษฐานว่ามีเชื้อสายมาจาก Alexander the Great นักรบผู้เดินทางมาจากทางยุโรปตะวันออก บางกลุ่มก็กล่าวว่ามีเชื้อสายจากชาวอารยันที่มีต้นกำเนิดจากทางอิหร่านและอินเดียตอนเหนือ ผู้คนที่นี่ถือว่าเป็นมุสลิมใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนมานับถืออิสลามได้เพียงแค่ประมาณ 100 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ชาวบ้านจึงค่อนข้างเคร่งศาสนา โดยเฉพาะผู้หญิงที่ปิดหน้าตาไม่ให้เราเห็นแม้แต่นิดเดียว เส้นทางการเดินทางไปนูริสถานของเราประกอบไปด้วย Kabul-Laghman-Jalalabad-Kunar-Nuristan ซึ่งเต็มไปด้วยจุดตรวจที่แน่นหนาและถนนแคบๆ เลาะไปตามสันเขา นูริสถานเปรียบได้ว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย หมู่บ้านที่นี่ตั้งอยู่บนหน้าผา สร้างด้วยไม้ มีลำธารที่ใสสะอาด มีวัวและแพะเดินเล่นไปมาเสมือนกับอยู่ยุโรปเลยทีเดียว
“อัฟกานิสถาน” เป็นประเทศที่เหมาะกับนักเดินทางทุกประเภท ทั้งผู้ที่สนใจในธรรมชาติ การถ่ายภาพ และผู้คน โดยนักเดินทางควรมีความเข้าใจในประเพณีและวัฒนธรรมเป็นอย่างดี อัฟกานิสถานเป็นจุดหมายที่มีเอกลักษณ์และน่าค้นหามากที่สุดแห่งนึงของโลก เราสามารถมาเรียนรู้เรื่องราวที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเห็นในสื่อต่างๆ วิถีชีวิตของผู้คนที่ถูกสืบทอดและรักษามานับหลายพันปีได้อย่างดี..
ส่วนในครั้งหน้า เราจะพาทุกท่านไปท่องโลกที่ไหนกันบ้าง อย่าลืมกลับมาติดตามการผจญภัยของ ทีม Saga Expeditions ได้ทุกวันอาทิตย์ที่ 1 และ 3 ของเดือนกันนะครับ..
พาท่องโลกโดย : Saga Expeditions