นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า ขณะนี้นอกเหนือจากเงินลงทุนต่างประเทศไม่ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยแล้ว ยังพบว่าเงินลงทุนของไทยเริ่มทยอยไหลออกไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นในภาพรวมอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาทซึ่งสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารหุ้น และหากเจาะจงเฉพาะตราสารหุ้นต่างประเทศอย่างเดียวจะเห็นว่า ช่วงปลายปี62 อยู่ที่ 220,000 ล้านบาท แต่ล่าสุดปีนี้เพิ่มเป็น 580,000 ล้านบาท หรือขึ้นมา 1 เท่าตัว เนื่องจากตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นใหม่ๆที่น่าลงทุน และภาพรวมเศรษฐกิจ การควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ไทยยังไม่ดีเท่าที่ควร

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยและมีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายใหม่ โดยทางเฟทโก้คาดว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีโอกาสติดลบ 0.4% โดยทั้งปียังคงเป็นบวกอยู่ที่ 0.6-1% จากอานิสงส์การเติบโตในภาคส่งออกช่วงไตรมาส2 แต่จากการระบาดของไวรัสโควิดที่ยืดเยื้อจนต้องล็อกดาวน์และตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงระดับ17,000-18,000 คนต่อวัน ประกอบกับหลายโรงงานเริ่มมีการติดเชื้อและปิดโรงงานชั่วคราวจึงอาจทำให้การเติบโตภาคส่งออกครึ่งปีหลังเริ่มแผ่วลง

ทั้งนี้ รัฐบาลจึงต้องเร่งหยุดเชื้อควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แรงขึ้น และออกมาตรการเพิ่มกำลังซื้อโดยเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปอีก อาทิ 1.มาตรการเดิมอย่างการช่วยเหลือนายจ้างเพื่อให้สามารถจ้างงานต่อได้นั้น มองว่าเป็นมาตรการที่ดีแต่อยากให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก เพราะสถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ความผิดของธุรกิจแต่เป็นความผิดของโควิด 2.หลังจากควบคุมการระบาดจะต้องกระตุ้นการจับจ่ายด้วยมาตรการเพิ่มกำลังซื้อเพื่อช่วยต่อลงหายใจในภาคธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบของโครงการเดิมที่ทำมาแล้วแต่เพิ่มปริมาณเงินเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเต็มที่

และ3.ทำให้ประเทศเข้มแข็งด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆโดยรัฐบาลจะต้องมองไปถึงปีหน้าว่าเศรษฐกิจอาจไม่ฟื้นกลับมาทันทีและจำนวนนักท่องเที่ยวอาจไม่กลับมาเท่ากับช่วงปกติ จึงต้องเตรียมมาตรการล่วงหน้าในการกระตุ้นให้คนไทยเที่ยวในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุน ซึ่งอาจต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดการจ้างงานในระหว่างลงทุน เพื่อรองรับการเปิดประเทศในปีถัดๆไป รวมไปถึงการเตรียมปรับเพดานหนี้สาธารณะไว้ล่วงหน้าและเตรียมการกู้เงินล่วงหน้าสำหรับการฟื้นฟูประเทศอย่างจริงจัง