เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเศร้าสำหรับแฟนคลับของศิลปินดังระดับโลก “จัสติน บีเบอร์” ชาวแคนาดา วัย 28 ปี ที่พึ่งเปิดเผยเหตุยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ต เพราะต้องต่อสู้กับโรคร้าย Ramsay Hunt Syndrome (แรมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม) หรือที่รู้จักกันคือ กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต ทำเอาแฟนคลับใจหายและเป็นห่วงกันอย่างมาก วันนี้เดลินิวส์จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสาเหตุหลักของการเกิดโรค Ramsay Hunt Syndrome (แรมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม) ต้นเหตุป่วยของจัสติน บีเบอร์

อ่านข่าวเก่า : ‘จัสติน บีเบอร์’ เผยเหตุยกเลิกทัวร์ ต้องต่อสู้โรคร้าย กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต

โดย คุณหมออดุลย์ชัย ธรรมาแสงเสริฐ หรือที่รู้จักกันในนาม หมอเฉพาะทางบาทเดียว ได้เผยสาเหตุของอาการโรคนี้ว่า “เป็นโรคภาวะแทรกซ้อนจากงูสวัดโดยตรง เกิดจากการที่เชื้อไวรัสเข้าไปจู่โจมเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดหู การได้ยินลดลง เวียนหัว บ้านหมุน ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ เกิดตุ่มน้ำภายในหู เสียการรับรู้รสชาติอาหาร ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งเบี้ยว จะต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส และต้องรีบรักษาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ”

ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับทาง โรงพยาบาลธนบุรี เคยระบุว่า รคงูสวัดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (Varicella Zoster Virus – VZV) ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดตุ่มพอง เป็นแนวยาว ที่ผิวหนัง ปวดแสบร้อนมาก บริเวณที่ขึ้นกันบ่อย คือ แนวบั้นเอว หรือ แนวชายโครง บางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า และจะมีลักษณะการขึ้นคล้ายกันคือ จะขึ้นเพียงซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายเท่านั้นโรคนี้มักไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง และแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีถึง 10 ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ

เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น อายุมาก มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ติดเชื้อ HIV เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็งหรือยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อที่แฝงอยู่บริเวณปมประสาทก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้ประสาทอักเสบ มีอาการปวด มีตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท Hepes Varicella Zoster เป็นชนิดเดียวกันกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรค ไข้สุกใส ซึ่งผู้ป่วยจะมีประวัติเป็นไข้สุกใสในวัยเด็ก หรือ เคยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยไม่มีอาการแสดง ซึ่งสามารถตรวจพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเลือด

อาการ 1).ปวดแปลบๆ อาจมีอาการคันและแสบ ร้อน ก่อนมีผื่น 2).ครั่นเนื้อ ครั่นตัว ปวดศีรษะและมักมีไข้ต่ำๆ 3).ตุ่มน้ำใสๆ จะทยอยขึ้นใน 4 วันแรกแล้วจะตกสะเก็ดใน 7-10 วัน 4).บางรายที่มีตุ่มขึ้นที่ใบหน้า อาจมองแสงจ้าไม่ได้ ตามแนวเส้นประสาทสมองที่ 5 อาจจะทำให้เกิดตาบอด และเส้นประสาทสมองที่ 7 ทำให้มีอาการปากเบี้ยวครึ่งซีกเรียก 5).อาจมีอาการ อาเจียน คอแข็ง หรือ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ 6).หญิงตั้งครรภ์ อาจแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เกิดความผิดปกติในทารกได้

ปัจจัยเสี่ยง 1).เป็นโรคไข้สุกใสมาก่อน 2).ผู้สูงอายุอาจมีอาการปวดรุนแรงและเรื้อรัง 3).เป็นโรคภูมิต้านทานบกพร่อง หรือ กลุ่มคนที่ทานยา

การป้องกัน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้สุกใส ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ซึ่งฉีดเพียง 1 เข็ม สามารถป้องกันได้ตลอดชีวิต ถ้าฉีดตอนอายุมากกว่า 13 ปี ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 สัปดาห์

โดยต่อมาทางกระทรวงสาธารธสุขกรมการแพทย์ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่าโรคเส้นประสาทใบหน้าหรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อักเสบ หรือเบลล์พัลซี ( Bell’s palsy ) คือภาวะที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเกิดอัมพาตชั่วขณะ สามารถพบได้ทุกช่วงอายุ โดยมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทบนใบหน้าที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้าเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก มักจะเป็นข้างใดข้างหนึ่ง หลับตาไม่สนิท มุมปากขยับได้ลดลง ดูดน้ำจากหลอดไม่ได้ มีน้ำรั่วที่มุมปาก หรือมีอาการเลิกคิ้วไม่ได้ การรับรสที่ปลายลิ้นผิดปกติ น้ำลายแห้ง น้ำตาแห้ง การได้ยินของหูข้างที่มีอาการลดลง หรือได้ยินเสียงก้อง และมีอาการปวดบริเวณหลังใบหูร่วมด้วย “บางรายเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคอีสุกอีใส, เชื้อเริม, งูสวัด ที่แฝงอยู่ในปมประสาท หากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำลงจะทำให้เกิดโรคนี้ได้ ถือเป็นปัญหาสุขภาพ ที่เกิดขึ้นทันที และมักจะเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง”

และ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเป็นโรคที่สามารถค่อยๆฟื้นตัวและดีขึ้นเองได้ โดยแพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ การตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ร่วมกับการตรวจการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ (NCS, EMG) การรักษาโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก คือรักษาตามสาเหตุที่ทำให้โรค เช่น ให้ยาฆ่าเชื้อไวรัสกรณีที่มีการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเริม หรืองูสวัดร่วมด้วย, การให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบในรายที่ไม่มีการติดเชื้อ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดใบหน้า เช่น การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า, การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือนวดใบหน้า ช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็ง และการผ่าตัดในผู้ป่วยบางราย “ในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรปิดตาข้างที่มีอาการ หรือ ใส่แว่นกันแดด ร่วมกับใช้น้ำตาเทียม และปิดตาเวลานอนเพื่อลดอาการเคืองตา ตาแดง หรือมีแผลที่แก้วตา อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ป่วยมีอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ เพราะผลของการรักษาจะได้ผลดีถ้าได้เริ่มรักษาได้เร็ว”…

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก @หมอเฉพาะทางบาทเดียว, @โรงพยาบาลธนบุรี, @สำนักสารนิเทศสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข