ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกลุ่มชาวนา นั่นคือ อากาศยานไร้คนขับ หรือที่รู้จักกันว่าโดรน (Drone) โดรนเพื่อการเกษตรหากแบ่งตามการใช้งานสามารถแบ่งเป็น 2 รูปแบบ (1) โดรนสำรวจพื้นที่ (Data – mapping drone) โดยทั่วไปใช้สำหรับสำรวจพื้นที่เพาะปลูก ตรวจสอบสุขภาพพืช ตลอดจนวางแผนการเพาะปลูก (2) โดรนฉีดพ่น (Spraying Drone) นำมาใช้พ่นสารเคมีหรือปุ๋ย และน้ำในแปลงเกษตรกร โดยปัจจุบันโดรนชนิดนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่มากขึ้นด้วยข้อดีหลายประการ จากผลงานการวิจัยของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาความคุ้มค่าการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ช่วยทำนาในภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนระหว่างการใช้และไม่ใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ในการช่วยทำนา จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า เกษตรกรมีการจ้างบริการโดรนในการพ่นสารกำจัดวัชพืช/แมลงศัตรูพืช และการพ่นฮอร์โมนบำรุงข้าว ซึ่งการใช้โดรนพ่นสามารถลดเวลาลงเมื่อเทียบกับการใช้แรงงานคน 3 – 5 เท่า สามารถลดปริมาณการใช้สารเคมีลงร้อยละ 15 – 20 และไม่มีสารตกค้างในตัวผู้ปฏิบัติงาน (สศก,2562)
สำหรับข้อดี ข้อเสีย ของการใช้โดรนเพื่อการเกษตร ดังนี้
ข้อดี 1.ประหยัดเวลา 2.ลดการสัมผัสสารเคมีโดยตรงของผู้พ่น 3.ลดปริมาณสารเคมีในการฉีดพ่นแต่ละครั้งเนื่องจากการกระจายน้ำยาดีกว่าการใช้คนพ่น 4.ข้าวไม่เสียหายจากการเหยียบย่ำ 5.สามารถตั้งระบบบินแบบอัตโนมัติได้
ข้อเสีย 1.ราคาลงทุนซื้อเครื่องยังสูงอยู่ 2.ต้องเรียนรู้เรื่องระบบต่างๆที่ซับซ้อน 3.แบตเตอรี่มีราคาแพง 4.ผู้ขับต้องมีความชำนาญในการบังคับเพื่อป้องกันความเสียหาย เช่น กรณี เครื่องตก บินชนต้นไม้ เป็นต้น 5.ต้องเติมน้ำยาบ่อย 6.ต้องมีแบตเตอรี่สำรองเพื่อการฉีดพ่นให้ได้ตลอดทั้งวัน
ผู้เขียนคิดว่า ถ้ามีการวางแผนในระยะยาว การใช้โดรนพ่นยา จะทำให้คุ้มทุนกว่าการจ้างคนไปพ่นยา อีกทั้งการใช้เทคโนโลยีและราคาจำหน่ายโดรนที่ถูกลงเรื่อย ๆ จะสามารถนำมาใช้ในงานด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อลดต้นทุน และแทนที่การใช้แรงงานคนมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน
ผู้เขียน : น.ส.ฤทัยรัตน์ ยศโชติ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ
ขอบคุณภาพจาก https://www.google.co.th และ เฟซบุ๊ค : สตรองโดรน โดรนพ่นยา โดรนเพื่อการเกษตร