เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 2 พ.ค. ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน (วงเวียนใหญ่) เขตคลองสาน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 6 ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อม ผู้สมัคร ส.ก.กลุ่มรักษ์กรุงเทพ จาก 8เ ขตในพื้นที่กรุงธนเหนือประกอบด้วย เขตตลิ่งชัน, จอมทอง, บางกอกน้อย, บางกอกใหญ่, ธนบุรี, คลองสาน, บางพลัด, ทวีวัฒนา โดยพูดถึงนโยบายกรุงเทพฯ ต้องไปต่อ ทั้งนี้เมื่อ พล.ต.อ.อัศวิน เดินทางมาถึงได้สักการะอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนขึ้นเวทีปราศรัย
พล.ต.อ.อัศวิน ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยยืนยันว่าตนเองได้รับเสียงตอบรับจากคนในพื้นที่เป็นอย่างดีและมั่นใจ ในนโยบายโดยวันนี้ตั้งใจมาบอกประชาชนโซนกรุงธนเหนือ 8 เขต ว่า กทม.ต้องไปต่อเพราะมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้กับชาวฝั่งธน เช่น อุโมงค์ททางลอดที่แก้ปัญหาจราจร, ประตูระบายน้ำคลองทวีวัฒนา, การปลูกป่าชายเลน เป็นต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องชาวฝั่งธน
ส่วนการค้าขายบนทางเท้าจะต้องหาความสมดุลโดยให้ทางคณะกรรมการชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการและจัดหาสถานที่เพราะคนเดินก็ต้องเดินได้ผู้ค้าก็ต้องค้าขายได้
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวเพิ่มเติมว่าตั้งใจเดินหน้าแก้ไขปัญหารถติดหลังจากสามารถลดอันดับจากเลขตัวเดียวมาอยู่ในเลขหลัก 10 ของโลกโดยที่ผ่านมาได้แก้ไขโดยใช้รถ Feeder (ระบบการเชื่อมต่อล้อ-ราง-เรือ)เพิ่มการสัญจรทางเลือกทั้งรถไฟฟ้า, เรือไฟฟ้า, รถ EV ขยายคู่ถนนให้เป็นทางขนาน และแก้ปัญหาจุดตัดเพื่อระบายรถ หลังจากนี้คงใช้แนวทางเดิมเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาจราจรและขยับให้เป็นเลข 3 หลักได้
ขณะเรื่องป้ายหาเสียงที่ถูกทำลายนั้น พล.ต.อ.อัศวิน ระบุว่า ที่ผ่านมาดูแลตลอด บางทีอาจลมแรง หรือบางทีไม่มีเจตนามาทำให้ป้ายพังเสียหาย ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มองเป็นเกมการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวิน บอกว่า ไม่มีหรอก ไม่มีปัญหา อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ผมเป็นคนคิดในแง่บวกไม่เคยคิดในแง่ลบ
ส่วนกรณีซูเปอร์โพลทำการสำรวจประชาชนถึงการรับรู้ต่อผลงานของผู้ว่าฯ กทม. ที่มีร้อยละ 45 ระบุว่า เห็นผลงานไม่มากพอนั้น มีความคิดเห็นอย่างไรนั้น พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวสั้น ๆ ว่า “นานาจิตตัง”
จากนั้น 18.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวว่า ตนเองเป็นเด็กบ้านนอกและไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ และได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ตนเองทำเต็มที่ เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน และอยากให้เลือก ส.ก.กลุ่มรักษ์กรุงเทพ เข้าไปเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบไร้รอยต่อ ย้ำว่า 5 ปี 5 เดือน 5 วันนั้น ตนเองทำงานตลอด ยอมรับว่า กทม.เสียโอกาสไปเยอะหลังประสบปัญหาโควิด-19 ที่ทำให้ทุกอย่างชะงัก ซึ่งสิ่งแรกหลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายจุดผ่อนผันการค้าขาย แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสังคม ไม่เกะกะคนเดินเท้า สร้างสมดุล ให้สามารถค้าขายได้เช่นกัน และจะแก้ระเบียบกองทุนกู้ยืมให้ได้มากกว่า 1 แสนบาท ลดคนค้ำประกันจาก 14 คนเหลือ 2-3 คนเท่านั้น.