ข่าวเกี่ยวกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โทรศัพท์ไปหลอกลวงต้มตุ๋นเหยื่อในหลากหลายรูปแบบ เช่น หลอกให้ลงทุนในหุ้นหรือคริปโตฯ-หลอกว่ามีงานให้ทำ-หลอกนัดเจอเพื่อออกเดท-หลอกปล่อยเงินกู้-หลอกว่ามีพัสดุส่งมา-หลอกว่าพัวพันกับคดีต่างๆ-หลอกว่ามีพัสดุตกค้างอยู่ในด่านศุลกากร ฯลฯ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องเร่งสืบสวนสอบสวนจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างถอนรากถอนโคน

จับเครือข่ายใน จ.สระแก้ว-ขยายผลไปกัมพูชา

จนกระทั่งมีสัญญาณดี! เมื่อตำรวจชุดปฏิบัติการบูรพา 491 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT : Police Cyber Taskforce นำกำลังเข้าทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ เพื่อตัดวงจรส่งคนไทยข้ามแดนเข้าไปทำงานในประเทศเพื่อบ้าน โดยมีการจับกุมสามี-ภรรยา ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับหัวหน้าแก๊งชาวจีน เพื่อส่งคนไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา นำไปสู่ขยายผลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องอีก 2 แก๊ง รวม 71 หมายจับ ซึ่งอยู่ในกัมพูชา

ต่อมาวันที่ 10 ก.พ.65 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce พร้อมคณะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อเข้าพบผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เพื่อขอการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่กัมพูชา ในการเปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 3 จุด พร้อมกันในกรุงพนมเปญ และเมืองพระสีหนุ ได้ผู้ต้องหา 21 ราย จาก 71 หมายจับ

หลังสุดวันที่ 24 มี.ค.65 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช และพ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก. (สอบสวน) บก.สส.ภ.2 ประสานงานกับ พล.ต.อ. Sar Theth รอง ผบ.ตร.กัมพูชา และ พล.ต.ท. Wan Wera ผู้ช่วย ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดพระสีหนุ นำกำลังเข้าตรวจค้นออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 แห่ง ในจังหวัดพระสีหนุ จับกุมผู้ต้องหา 28 ราย ช่วยเหลือเหยื่อคนไทย 5 ราย และอยู่ระหว่างคัดแยกอีก 28 ราย รวมทั้งหมด 61 ราย

โดยมีนายซิน ฮัง เต หรือนายอาเต๋อ อายุ 28 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่ นายจาง เจียน เทียน หรือนายอาหู อายุ 41 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่ และนายพรศักดิ์ อายุ 30 ปี สัญชาติไทย พร้อมคนไทยอีก 25 คน ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ร่วมกันเป็นซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฟอกเงิน” นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ โทรศัพท์มือถือ 30 เครื่อง วิทยุสื่อสาร 8 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 4 เครื่อง สคริปต์เตรียมบทพูดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จาก DHL และ FedEx เอกสารหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม เอกสารหมายจับศาลอาญาซึ่งเป็นเอกสารปลอม เอกสารหมายเรียกของสำนักคดีการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

เครือข่ายในไทยทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า-รับสมัครงาน

ทางด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช เปิดเผยกับทีมข่าว “ Special Report” ว่าปัจจุบันออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ขยับขยายไปอยู่กัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ แต่ในประเทศไทยยังมีผู้ร่วมขบวนการเพื่อทำงาน 2 หน้าที่ คือ 1. เปิดบัญชีม้า เป็นลักษณะของการสมรู้ร่วมคิดกันเปิดบัญชีธนาคารในไทย โดยสมุดบัญชีและบัตรเอทีเอ็มไปอยู่กับเครือข่ายหัวหน้าแก๊ง เพื่อเปิดบัญชีไว้ให้เหยื่อโอนเงินเข้ามา ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็จะเบิก-ถอนเงิน และโอนเงินออกไปต่างประเทศทันที

2.ทำหน้าที่รับสมัครงาน ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ถ้ามีคนสนใจสมัครไปทำงานที่กัมพูชา ขบวนการคอลเซ็นเตอร์จะรีบไปรับตัวถึงหน้าบ้าน ซึ่งในอดีตอาจลักลอบเดินทางออกตามแนวชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ แต่ช่วงหลังเดินทางไปแบบถูกกฎหมาย เดินทางไปโดยเครื่องบิน เข้าไปในรูปแบบที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายก็ผิดกฎหมายของกัมพูชาอยู่ดี เพราะอยู่อาศัยในกัมพูชาเกินเวลาที่กำหนด ประเภทที่ว่าเข้าไปอยู่หลายเดือน หรือนานนับปี หรือ 2 ปีก็มี ที่ถูกหลอกไปทำงานอาจจะมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไปแบบสมัครใจ รู้ว่าจะต้องไปทำงานอะไร จึงขอเตือนว่าถ้าถูกจับกุมจะถูกดำเนินคดีทั้งสองประเทศเลยนะ!

รายได้ดี-ถูกจับแล้วยังไม่อยากกลับบ้าน!

คือไปแล้วไม่อยากกลับบ้าน ขนาดถูกจับกุมยังขอไม่ให้ส่งตัวกลับบ้าน เนื่องจากรายได้ดีเดือนละ 30,000-35,000 บาท แถมได้ค่าคอมมิชชั่นอีก 5% จากยอดที่สามารถต้มตุ๋นเหยื่อในแต่ละวัน โดยค่าคอมฯ 5% ที่ว่านี้จ่ายเป็นเงินสดกันเลย บางคนจึงมีรายได้เดือนละนับแสนบาท และหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในแต่ละบริษัท แต่ละออฟฟิศจะกระตุ้นให้คอลเซ็นเตอร์แต่ละคนทำรายได้วันละ 1 ล้านบาท ใครต้มตุ๋นหลอกลวงเหยื่อได้เก่งๆ จะมีการซื้อตัวกันด้วย

ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านมีอยู่ 3 กลุ่มคือ กลุ่มแรกใหญ่สุดหลอกลวงต้มตุ๋นคนไทย กลุ่มที่ 2 หลอกลวงต้มตุ๋นคนเวียดนาม และกลุ่มที่ 3 หลอกลวงต้มตุ๋นคนฟิลิปปินส์

หลังจากชุดปฏิบัติการบูรพา 491 จับกุมสามี-ภรรยา ซึ่งเป็นขบวนการคอลเซ็นเตอร์ได้ที่ชายแดน จ.สระแก้ว จากนั้นจึงมีการสืบสวนขยายผลจนทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีออฟฟิศอยู่ที่เมืองปอยเปต และพระสีหนุ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ จึงประสานไปยังตำรวจกัมพูชา เพื่อขอกำลังสนับสนุนในการตรวจค้นจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 ครั้ง ในปอยเปต และพระสีหนุ เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 และวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งหลังถือว่าโชคดีสามารถจับกุมตัวการใหญ่ 2 คน เป็นชาวจีน-ไต้หวัน โดยทั้งหมดจะถูกทางการกัมพูชาดำเนินคดี แล้วส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยตามหมายจับ

“กัมพูชา” เข้าใจ-ให้การสนับสนุนมากขึ้น

หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT กล่าวต่อไปว่าปัจจุบันเรื่องราวดราม่าที่เหยื่อมักถูกหลอกลวงต้มตุ๋นกันมาก คือ เกี่ยวกับพัสดุภัณฑ์ตกค้าง รวมทั้งสิ่งของผิดกฎหมายติดค้างอยู่ที่ศุลกากร แต่กรณีถูกหลอกลวงต้มตุ๋นมีมูลค่าสูงๆ คือ การถูกชักชวนให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ ถูกหลอกให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล สูงสุดรายละ 18 ล้านบาท บางจุดที่เข้าตรวจค้นจับกุมในเมืองพระสีหนุมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 100 ล้านบาท โดยมีพี่เลี้ยงคอยฝึกอบรมให้กับบรรดาคอลเซ็นเตอร์หน้าใหม่ๆ ด้วยเทคนิคคล้ายกับธุรกิจขายตรง และการขายประกัน ดังนั้นคนเหล่านี้จึงคล่องในการพูดจาหว่านล้อมเหยื่อ

“ต้องยอมรับว่าการเข้าไปจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก 1.แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้หลอกลวงต้มตุ๋นชาวกัมพูชา 2.ทางการกัมพูชารู้ดีว่าหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนจีน-ไต้หวัน เขาจึงไม่อยากยุ่งด้วย และ 3.แก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองพระสีหนุ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของกัมพูชา เป็นที่ตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ใครเข้าไปวุ่นวายกับกาสิโน แม้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมีออฟฟิศใหญ่อยู่บนกาสิโนก็ตาม”

เรียกว่าต้องอธิบายกันเพื่อให้อัยการของกัมพูชาเข้าใจและยอมให้เราเข้าตรวจค้นจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีกำลังตำรวจกัมพูชาร่วมด้วย แต่ตำรวจกัมพูชามาร่วมตรวจค้นจับกุมเป็นครั้งคราวตามที่เราร้องขอ แต่เขาไม่ได้ช่วยทางด้านสืบสวนฯ หาแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เราต้องส่ง “นักสืบ” ที่พูดภาษากัมพูชาได้ เข้าไปฝังตัวอยู่ในนั้น เพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

“กว่าจะมาถึงจุดนี้ ตำรวจไทยกับตำรวจกัมพูชามีการเจรจากัน และได้รับความร่วมมือมากขึ้นกว่าในอดีต ส่วนหนึ่งเพราะรอง ผบ.ตร.กัมพูชา ได้ทุนตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อเราเข้าไปคุยกัน ท่านก็ให้ความร่วมมืออย่างดี แล้วกัมพูชาก็ส่งนักเรียนนายร้อยตำรวจจบใหม่ 30 คน เข้ามาเรียนรู้หาประสบการณ์ในบ้านเรา โดยเร็วๆ นี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กับ ผบ.ตร.กัมพูชา จะเซ็นเอ็มโอยูในการประสานความร่วมมือ เพื่อให้ตำรวจสองประเทศทำงานร่วมกันในด้านการสืบสวนฯ ตรวจค้นจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างคล่องตัวมากขึ้น” พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าว