คดีอุบัติเหตุใหญ่ๆ แล้วทำให้มีผู้เสียชีวิต ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ให้สังคมจดจำ โดยสื่อมวลชนนำมาเสนอตีแผ่มีหลากหลายคดีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวคดีของ คนดังๆ, ศิลปินดารา ฯลฯ หรือแม้กระทั่ง คดีอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่ายังคงพอจดจดจำกันได้กับเหตุการณ์ คดีเสี่ยรถเบนซ์เมาแล้วขับ ชนรถเก๋ง “รอง ผกก.”ทำให้นายตำรวจเสียชีวิตพร้อมภรรยา ส่วนลูกสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดกลางดึกวันที่ 11 เม.ย.2562

แต่น่าสนใจตรงที่ คดีอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำไม “ผู้ก่อเหตุ” ถึงค่อนข้างได้ใจจากครอบครัวผู้สูญเสีย!!

เมาขับเบนซ์ขยี้เก๋ง “พ.ต.ท.” ดับพร้อมภรรยา

ทีมข่าวเดลินิวส์ ขอย้อนพากลับไปดูเรื่องราวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ใกล้จะครบ 3 ปี ก่อนหน้านี้ช่วงประมาณตีหนึ่ง วันที่ 11 เม.ย. 2562 ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน บนถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง-เขตทวีวัฒนา โดยบริเวณกลางสะพานข้ามคลอง พบรถยนต์ซูซูกิ สวิฟท์ สีขาว ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร สภาพล้อหลังเกยขึ้นไปค้างพาดอยู่กับราวสะพาน หน้ารถและข้างรถด้านขวาพังยับเยิน ภายในรถพบศพ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เสียชีวิตอยู่ตรงเบาะนั่งคนขับ นอกจากนี้ ยังพบผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นางนุชนาถ งามสุวิชชากุล ภรรยา ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนคือ บุตรสาววัย 12 ขวบ บาดเจ็บสาหัส

ด้านเชิงสะพานข้ามคลอง พบ รถเบนซ์ อี 250 สีบรอนซ์ ทะเบียน ษฮ 789 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าขวาพังยับ ล้อหน้าแบะหลุดออกมา ทราบชื่อคนขับ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ อยู่ในอาการคล้ายเมาสุรา ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เจ้าหน้าที่คุมตัวไปสงบสติอารมณ์ที่ สน.ศาลาแดง เรียกว่าต้องรอให้สร่างเมาเพื่อสอบปากคำ โดยในช่วงนั้น พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เดินทางมาสอบปากคำนายสมชาย ด้วยตัวเอง

นายสมชาย ยอมรับว่า ก่อนเกิดเหตุไปเล่นกอล์ฟที่สนามไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุแล้วดื่มเบียร์กับเพื่อนร่วมก๊วนไป 4-5 ขวด กระทั่งเวลา 23.00 น. ก็แยกย้ายกันกลับ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกทีตอนถุงลมนิรภัยทำงานหลังจากชนรถของ พ.ต.ท.จตุพร เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายสมชาย มีความผิดฐาน 1.ขับรถในขณะเมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่น และ 2.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และ 3.แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต อย่างไรก็ดีภายหลังคดีนี้ได้ผ่านกระบวนการสอบสวน เมื่อส่งไปถึงชั้นศาล ให้พนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหา คือ 1.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย โดยศาลให้ประกันตัวนายสมชาย ที่ยื่นเงินสด 2 แสนบาท เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

รับผิดสู้ความจริงชดใช้กว่า 45 ล้านบาท

ภายหลังได้รับการประกันตัวทางครอบครัวของนายสมชาย ไปเยี่ยมลูกสาวของ พ.ต.ท.จตุพร ที่บาดเจ็บอยู่ พร้อมจัดหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดที่เกี่ยวกับทางด้านสมอง จึงส่งไปรักษาตัวที่ รพ.กรุงเทพ ดูแลรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด นอกจากนี้นายสมชาย ยังไปร่วมแสดงความเสียใจฟังสวดศพ พ.ต.ท.จตุพร และภรรยา ที่วัดตรีทศเทพ เกือบทุกคืน รวมถึง ร่วมพิธีบวชหน้าไฟ พร้อมกับญาติผู้เสียชีวิต ในวันที่ 20 เม.ย.2562 หลังเสร็จสิ้นเรื่องงานศพแล้ว นายสมชาย ขอรับผิดชอบทุกอย่างโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากศาล ไม่ว่าจะเป็น มอบเงินให้กับบุตรสาว 2 คน รวม 30 ล้านบาท ค่าอุปการะให้บุพการีของ พ.ต.ท.จตุพร และภรรยา ชดใช้ค่าบัตรเครดิตของผู้ตายทั้ง 2 ราย ซื้อรถยนต์คันใหม่แทนคันที่ประสบอุบัติเหตุ และรักษาพยาบาลแก่ลูกสาวผู้ตายจนกว่าจะหายเป็นปกติ รวมแล้ว 45 ล้านบาท

ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดในชีวิต โดยตั้งใจไว้ว่าจะต้องรีบแก้ไข และจะเลิกดื่มไปตลอดชีวิต ขอโทษประชาชนกับสิ่งที่ได้กระทำผิดพลาดไป หวังว่าจะได้รับการให้อภัยและอโหสิกรรม ยืนยันว่าจะดูแลเด็กๆ ทั้งสองคนอย่างดีที่สุด โดยได้รับปากกับทางญาติของผู้เสียหายไว้แล้ว จะส่งเสียให้ถึงที่สุดตามที่พ่อกับแม่เขาปรารถนา ทั้งค่าเล่าเรียนและค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง โดยจะทำหน้าที่เสมือนพ่อแม่ให้กับเด็กที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไป จากการกระทำของผมในครั้งนี้

โดยนายสมชาย ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล เยียวยาชดใช้ค่าเสียหายรวม 45 ล้านบาทโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากศาลให้กับครอบครัวของนายตำรวจผู้เสียชีวิต ซึ่งเหลือเพียงบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนเล็ก ต่อมาเดือน ส.ค. 2562 ศาลอ่านคำพิพากษา ระบุว่าแต่เดิมนายสมชาย มีโทษสูงสุดตามที่กำหนดเอาไว้ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก แต่ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยมีประวัติต้องโทษมาก่อน จึงให้โอกาสที่จะให้กลับตัวเป็นคนดีอีกครั้ง โดยมีการลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จากเดิมที่มีโทษสูงสุดคือ จำคุก 6 ปี ปรับ 200,000 เหลือ จำคุก 3 ปี ปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท โดยให้รอลงอาญา 3 ปี นอกจากนี้เจ้าตัวยังต้องไปรายงานคุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี ต้องทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และภายใน 1 ปี ห้ามดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด

ขณะเดียวกัน ถึงแม้บุตรสาวของ พ.ต.ท.จตุพร จะออกมาเปิดใจ พวกเธอให้อภัยนายสมชาย เพราะคิดว่าการโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา และคนเป็นพ่อแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกต้องจมอยู่กับความทุกข์ไปตลอด ดังนั้นการให้อภัยจึงเป็นสิ่งเธอมอบให้ นอกจากนี้ยังมีภาพที่เด็กๆ เข้าไปสวมกอดนายสมชาย ในวันที่มาฟังศาลชั้นต้นพิพากษา โดยทั้งเด็กและนายสมชาย เดินจูงมือขึ้นไปบนศาล สร้างภาพอันประทับใจให้กับสังคมเป็นอย่างมาก ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นภาพลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเท่าไรนัก ในคดีที่อีกฝ่ายต้องมาสูญเสียพ่อแม่แต่ก็ให้อภัยกับคู่กรณี

อย่างไรก็ดีในช่วงเดือน ก.ย.2562 ทางอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลย เนื่องจากการเมาแล้วขับในประเทศมีอัตรารุนแรงเพิ่มขึ้น รัฐต้องสูญเสียทรัพยากรและทรัพย์สินในการบริหารจัดการต่างๆ อีกทั้งเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนาน จำเลยเป็นคนที่มีฐานะดี หากรู้ตัวว่าเมาสุราแล้ว ย่อมมีศักยภาพในการกลับบ้านด้วยวิธีอื่น ไม่ใช่การขับรถยนต์ในขณะมึนเมาและขับด้วยความเร็วเกินกำหนด จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง การกระทำของจำเลยจึงไม่ควรรอการลงโทษจำคุก

คดียืดเยื้อถึงศาลอุทธรณ์ ยืน “รอลงอาญา 3 ปี”

ต่อมาวันที่ 23 เม.ย.63 ศาลอาญาตลิ่งชันได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1839/2562 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2284/2562 ระหว่าง พนักงานอัยการสูงสุด (อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 5) เป็นโจทก์ฟ้อง นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ จำเลยข้อหา ขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหายฯ คดีนี้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดตลิ่งชันเดิม) พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.291, 300 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ม.43 (2) (4), 67 วรรคหนึ่ง, 152, 157, 160 ตรี วรรคสามวรรคสี่ อันการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขับรถในขณะเมาสุรา ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุก 6 ปี และปรับ 200,000 บาท โดยจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี พร้อมปรับ 100,000 บาท รวมทั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย และสั่งห้ามจำเลยดื่มสุรา-เบียร์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดด้วย

ศาลพิเคราะห์ตามรายงานสืบเสาะแล้วโทษจำคุกจำเลยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายใน 2 ปี กับทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ มีกำหนด 48 ชั่วโมง ภายเวลา 1 ปี ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด คดีนี้หลังเกิดเหตุจำเลยมิได้หลบหนีและยังนำบุตรสาวของผู้ตายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน เสียค่ารักษาไปประมาณ 1.5 ล้านบาท จำเลยไปร่วมงานศพของผู้ตายทั้งสองและร่วมทำบุญในการปลงศพ 3 แสนบาท ชดใช้เงินค่าขาดไร้อุปการะให้แก่มารดาของผู้ตายที่ 1 จำนวน 2 ล้านบาท และมารดาของผู้ตายที่ 2 จำนวน 1.9 ล้านบาท ชำระหนี้สินของผู้ตายที่ 1 เป็นเงิน 2 ล้านบาท ซื้อรถยนต์ใหม่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ราคา 1.5 ล้านบาท ทดแทนรถคันเดิมที่ประสบอุบัติเหตุ มอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรของผู้ตายทั้งสองคน คนละ 15 ล้านบาท

โดยบุตรทั้งสองของผู้ตายผู้ปกครองล้วนแถลงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำของตน

เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง และมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว การรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยรวมยิ่งกว่าการลงโทษจำคุกจำเลย โดยเป็นการให้โอกาสจำเลยในการกลับตัวเป็นพลเมืองดีอุปการะดูแลบุตรของผู้ตายทั้งสองและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ดังที่จำเลยแก้อุทธรณ์มา คำพิพากษาที่โจทก์ อ้างมาในอุทธรณ์ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยในคดีดังกล่าวนั้น มีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่มีการบรรเทาผลร้ายในการกระทำของจำเลยจนเป็นที่พอใจแก่ฝ่ายผู้ตายดังเช่นคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

สำหรับคดีนี้จึงได้จบลงที่ชั้นศาลอุทธรณ์ โดยอัยการไม่ยื่นฎีกา ทำให้คดียุติไปเมื่อช่วงกลางปี 2563 ถือว่าเป็นอีกบทเรียนของคดีอุบัติเหตุเมาแล้วขับที่เกิดขึ้นมาในสังคมไทย แต่ผู้ก่อเหตุไม่ได้หลบหนี สู้ความจริง ยอมรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้นทุกกรณีแบบไม่มีข้อโต้แย้ง จนทำให้ครอบครัวผู้สูญเสียยอมให้อภัย ทำให้คดีนี้จบลงด้วยดี.

ทีมข่าวเฉพาะกิจ รายงาน