การกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้งของเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สร้างบรรยากาศคึกคักให้แฟนบอลของทีมที่ยังอยู่ในเส้นทางได้อย่างมหาศาล ยิ่งเป็นการกลับมาเตะในรอบน็อคเอาต์ มันยิ่งทวีความเข้มข้น…

แฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ไม่แตกต่าง ยิ่งคู่แข่งที่ขวางหน้าพวกเขาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งแดนมะกะโรนีอย่าง “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ซึ่งถือเป็นคู่ต่อสู่ที่สมน้ำสมเนื้อ เหล่า “เดอะ ค็อป” ยิ่งรอคอยด้วยความตื่นเต้น

เกมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ถือเป็นการกลับไปเยือนสนามในตำนานของแดนมะกะโรนี เป็นครั้งที่ 2 ของ “หงส์แดง” ในซีซั่นนี้ หลังเคยบุกมาทุบ เอซี มิลาน คาถิ่นมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่สำหรับพลพรรค “เนรัซซูรี” นี่คือการลงเล่นในรอบน็อคเอาต์ของถ้วยหูยักษ์เป็นครั้งวแรกในรอบกว่าศตวรรษ หลังจาก 3 ครั้งก่อนหน้านี้ที่เข้ามาเล่นในถ้วยใบนี้ พวกเขาจอแค่รอบแบ่งกลุ่มมาตลอด

ก่อนเกม เจอร์เกน คลอปป์ ให้เกียรติทีมเจ้าถิ่น โดยบอกว่า “งูใหญ่” คือทีมที่ดีที่สุดในลีกแดนมะกะโรนี (ถึงตอนนี้พวกเขาจะไม่ใช่จ่าฝูง กัลโช เซเรีย อา ก็เถอะ) ขณะที่ ซศิโมเน อินซากี กุนซืออินเตอร์ มิลาน ก็บอกว่า “หวส์แดง” ดีที่สุดในยุโรปในนาทีนี้ ต่างฝ่ายต่างหยอดคำหวานก่อนห้ำหั่นกันในสนาม

เกมนี้ คลอปป์ เปลี่ยน 11 ตัวจริงจากเกมล่าสุดกับ เบิร์นลีย์ 4 ตำแหน่ง อิบราฮิมา โกนาเต ลงมายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แทนที่ โฌแอล มาทิป ในแดนกลาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มีอาการเจ็บนิดหน่อยจากเกมที่แล้ว นั่งสำรองเช่นเดียวกับ นาบี เกอิตา โดย ติอาโก อัลคันทารา ลงมาเป็นตัวจริงร่วมกับไอ้หนู ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่ได้ออกสตาร์ตเป็น 11 ตัวจริงเป็นนัดแรกนับตั้งแต่หายเจ็บกลับมา และเป็นการออกสตาร์ตเป็นครั้งแรกในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า นายใหญ่ชาวเยอรมัน มั่นใจในตัวดาวรุ่งรายนี้แค่ไหน ส่วนมิดฟิลด์อีกคนเป็น ฟาบินโญ ที่ลงเล่นให้ทีมเป็นเกมที่ 150

ส่วนแนวรุก ดีโอโก โชตา กลับมาเป็นตัวจริงร่วมกับ ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งนี่คือการออกสตาร์ตพร้อม ๆ กันของ 3 คนนี้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา…

เกมในครึ่งแรกต้องบอกว่าน่าอึดอัดสำหรับ “หงส์แดง” พวกเขามีโอกาสใกล้เคียงก่อนเมื่อ มาเน ได้ขวิดข้ามคานไปเฉียดฉิว แต่เจ้าถิ่นก็ตอบโต้ทันควันด้วยลูกยิงของ ฮาคาน ชาลฮาโนกลู ที่พุ่งไปจูบคานสนั่น

การต้องเจอกับเกมรับอันเหนียวหนึบในรูปแบบกองหลัง 5 คนทำเอา “หงส์แดง” หาช่องเจาะลำบากไม่น้อย ขณะที่เจ้าถิ่น เองก็มีจังพวะสวนเป็นพัก ๆ แต่ก็ยังไม่แม่นพอ

เข้าสู่ครึ่งหลัง คลอปป์ ปรับเกมถอด โชตา ที่ก่อนหน้านี้กำลังฮอต และจะว่าไปครึ่งแรกก็ไม่ถึงกับแย่ออก แล่วใส่ ฟีร์มิโน ลงมาเล่นเป็นฟอลส์ไนน์แทน แต่กลับเป็น “งูใหญ่” เจ้าถิ่นที่ออกตัวได้ดีกว่าชัดเจนในครึ่งหลัง ก่อนที่กุนซือชาวเยอรมัน จะแก้เกมอีกชึดใหญ่เมื่อนาฬิกาเดินไปกำลังจะถึง 1 ชั่วโมงของเกม ด้วยการส่ง “เฮนโด” แทน ฟาบินโญ เกอิตา แทน เอลเลียตต์ และถอด มาเน เปิดทางให้ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งเคยบุกมายิงใส่ เอซี มิลาน ที่สนามนี้มาแล้วในรอบแบ่งวกลุ่มซีซั่นนี้ แต่ตอนนั้นเขาอยู่ในสีเสื้อสีน้ำเงินขาวของ ปอร์โต

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่ารูปเกมคู่นี้ค่อนข้างสูสีและอึดอัดสำหรับทั้ง 2 ทีม แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ “หงส์แดง” งัดไม้ตายก้นหีบที่ได้ผลบ่อยครั้งในช่วงหลังออกมาใช้ นั่นคือลูกตั้งเตะทั้งหลาย เกมลีก 3 นัดหลังสุดกับ คริสตัล พาเลซ, เลสเตอร์ ซิตี และ เบิร์นลีย์ นั้น ลิเวอร์พูล ทำประตูจากลูกเตะมุมได้ทุกนัด ขณะที่เกมเอฟเอ คัพ กับ คาร์ดิฟฟ์ ก็เป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เปิดฟรีคิกให้ โชตา โขกจมตาข่าย

เกมนี้ก็เช่นกัน เมื่อ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดลูกเตะมุมฝั่งขวาให้ ฟีร์มิโน โหม่งเสยเข้าหน้าต่างเสาสองให้ทีมนำ 1-0 ในนาทีที่ 75 ซึ่งเป็นโอกาสทำประตูที่ตรงกรอบครั้งแรกของเกมนี้ของทั้ง 2 ทีม มันคือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และเปลี่ยนโฉมหน้าของเกม…

และเมื่อกองหลังเจ้าถิ่นสกัดบอลไม่ขาด ปล่อยให่ ซาลาห์ วิ่งมากดด้วยซ้ายตุงตาข่ายอีกลูกในนาทีที่ 83 ชัยชนะจึงเป็นของ “หงส์แดง” อย่างเด็ดขาด…!!!

สกอร์ 2-0 นอกบ้านแบบนี้ หากเป็นฤดูกาลที่ผ่าน ๆ มา “หงส์แดง” คงได้เปรียบมหาศาลจากกฏยิงประตูทีมเยือน แต่ดูจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของทั้ง 2 ทีมเวลานี้ ถึงไม่มีกฏอเวย์โกล์ มันก็คงไม่แตกต่าง

เกมนัดที่ 2 ของคู่นี้จะเล่นกันในวันอังคารที่ 8 มี.ค. ซึ่งหากฟ้าไม่ผ่าที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย…!!!

เครดิตภาพ : REUTERS, Getty Images