ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเม.ย.2559 หรือเป็นเวลานานเกือบ 6 ปีแล้ว ที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงเป็นที่รู้จักด้วยพระนามย่อ “เอ็มบีเอส” ทรงประกาศแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปประเทศ “วิสัยทัศน์ 2030” โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ด้วยการลดการพึ่งพาน้ำมัน การมี “วิชั่น” หรือ วิสัยทัศน์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( ยูเออี ) มี “วิสัยทัศน์ 2021” “วิสัยทัศน์แห่งชาติ 2030” ของกาตาร์ ขณะที่คูเวตมี “วิสัยทัศน์ 2035” และ “วิสัยทัศน์ 2040” ของโอมาน โดยในเรื่องของเศรษฐกิจเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและแรงงานควบคู่กัน

SaudiVision 2030 رؤية السعودية

แผนการดังกล่าวไม่ใช่การปฏิรูปครั้งแรกของซาอุดีอาระเบีย แต่ก็ไม่น่าใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน เนื่องจาก ซาอุดีอาระเบียพยายามขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงประกาศมาตรการปฏิรูปครั้งใหญ่ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมาภายในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อสังคมที่มีความสมัยใหม่ หัวก้าวหน้า เป็นมิตรกับภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้หญิงสามารถขับรถได้เอง สามารถไปไหนมาไหนได้เองโดยลำพังมากขึ้น การกลับมาเปิดโรงภาพยนตร์ และในอนาคตเพื่อเพิ่มการดึงดูดนักท่องเที่ยวตามแผนการ อาจมีการเปิดโอกาสให้ร้านอาหาร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนภายนอก แต่สำหรับชาวซาอุดีอาระเบีย “คือเรื่องใหญ่” สถานการณ์แบบนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งปัจจุบันกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะเกิดขึ้นได้ อาทิ การจำกัดขอบเขตอำนาจของตำรวจศาสนา ซึ่งตอนนี้ไม่มีอำนาจจับกุมประชาชนที่แต่งกายไม่เหมาะสม และเจ้าของสถานประกอบกิจการซึ่งไม่ปิดร้านตามเวลาสวดมนต์ประจำวัน

หอคอย “เบิร์จ อัล-มัมลากา” หรือ “คิงดอม เซ็นเตอร์” ในกรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย

แม้มีความเปลี่ยนแปลงและมีการปฏิรูปเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลานานกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถยืนยันได้ในระดับหนึ่ง ว่าซาอุดีอาระเบีย “เปิดกว้างมากขึ้น” แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง และยังไม่มีความชัดเจน ว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และเมื่อไหร่ นั่นคือ “การกุมอำนาจ” และ “การตัดสินใจของผู้นำ”

Al Arabiya English

สำหรับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในซาอุดีอาระเบียนั้น “ความหมาย” และ “ความแตกต่าง” ของ “เสรีภาพทางสังคม” และ “เสรีภาพทางการเมือง” ยังคงเป็นปัญหา หลายฝ่ายมองว่าในอีกมุมหนึ่งของภาพลักษณ์ทางสังคมที่ยืนยันว่า ยอมรับความเปลี่ยนแปลง กลับยังคงมีความย้อนแย้งหลายด้านในตัวเอง เช่น การที่ยังมีนักเคลื่อนไหวต้องอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะนักกิจกรรมการเมืองที่เป็นผู้หญิง และ “การให้คำมั่นสัญญา” ว่าจะลดการใช้บทลงโทษประหารชีวิต แต่จนถึงปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียยังคงติดอันดับ ประเทศซึ่งประหารชีวิตนักโทษมากเป็นลำดับต้นของโลก

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงเปิดตัวโครงการ “เดอะ ไลน์” ระบบขนส่งแห่งอนาคตของมหานครใหม่ “นีออม”

หนึ่งในอภิมหาโครงการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ตามวิสัยทัศน์ 2030 คือโครงการเมืองแห่งอนาคต “นีออม” ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลแดง ซึ่งมีการทุ่มงบประมาณมากกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 16.6 ล้านล้านบาท ) รองรับผู้อยู่อาศัยได้ 1 ล้านคน พร้อมทั้งสร้างงานใหม่อีก 380,000 อัตรา

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการเดินทางภายในเมืองใหม่แห่งนี้ จะเป็นการเดินทางโดยระบบขนส่งความเร็วสูงแบบเคลื่อนที่อัตโนมัติที่เรียกว่า “เดอะ ไลน์” อย่างไรก็ตาม หนึ่งในขั้นตอนการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างเมืองนีออม ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากที่อาศัยอยู่เดิม ต้องกลายเป็นผู้ไร้ถิ่นที่อยู่อาศัย

Al Arabiya English

ทั้งนี้ เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงมีพระดำรัสว่า ซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ “ต้องเป็นยุโรปแห่งใหม่” ราชอาณาจักรแห่งนี้กำลังก้าวเดินอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนเส้นทางที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

อย่างไรก็ตาม หนทางยังคงอีกยาวไกล เพราะมกุฎราชกุมารยังต้องทรงพิสูจน์ให้โลกได้ประจักษ์ และมีความเชื่อมั่นในระยะยาวว่า วิสัยทัศน์ 2030 ของพระองค์ “เกิดขึ้นได้จริง”.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, REUTERS