เรียกว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่เหล่าคอหนังรอคอย หลังจากมีภาพยตร์ตัวอย่างออกฉายตั้งแต่ต้นปี 64 มาเจอพิษโควิดเลื่อนแล้วเลื่อนอีก กระทั่งได้ดูกันปลายปีพอดีเป๊ะ สำหรับ The King’s Man ซึ่งมีชื่อไทยว่า กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน ก่อนหน้านี้ท่านผู้ชมที่เป็นแฟนหนังแนวสายลับ คงจะเคยผ่านตามาแล้วกับผลงานกำกับของ “แมทธิว วอห์น” ใน 2 ภาคแรกของเขาอย่าง Kingsman: The Secret Service (คิงส์แมน โคตรพิทักษ์บ่มพยัคฆ์) และ Kingsman: The Golden Circle (คิงส์แมน รวมพลังโคตรพยัคฆ์) ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ทำรายได้รวมกันได้มากถึง 824 ล้านดอลลาร์ (414+410) จากทุนสร้าง 100 ล้านดอลลาร์ จึงถือเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 ภาค สำหรับในภาคกำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมนนี้ทาง “แมทธิว วอห์น” ได้เนรมิตฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ให้กลับไปสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ช่วงที่ อังกฤษ-เยอรมนี-รัสเซีย สู้รับกันอย่างต่อเนื่องและยาวนานในปี 1914-1918 ถ่ายทอดการสู้รบของเหล่าทหารแนวหน้าที่ต้องพลีชีพแบบนับไม่ถ้วน โยงใยกับเหล่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไว้มากมาย

เรื่องย่อ The King’s Man
ในยุคสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันสร้างความไม่สงบให้แก่ประเทศมหาอำนาจ ตั้งแต่ อเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และรัสเซีย โดยการชักใยอยู่เบื้องหลังบุคคลซึ่งเป็นผู้นำประเทศ จนนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะเดียวกันครอบครัวในตระกูลขุนนางเก่าอย่าง “ดยุก ออกฟอร์ด” ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทำให้เขาตระหนักว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เหล่าร้ายก่อสงครามได้อีก องค์กรโคตรพยัคฆ์สายลับ “Kingsman” จึงได้ถือกำเหนิดขึ้นมา

จุดเด่นของ “The King’s Man”
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความคลาสสิกในการผลิตหลากหลายด้าน ฉากการถ่ายทำที่จะเน้นความหรูหราในแบบผู้ดีอังกฤษ ปราสาท ห้องประชุม ตึกอาคารต่าง ๆ ต้องแลดูเก่าแก่ย้อนยุคจริง ขณะที่เสื้อผ้าแฟนชั่นในสมัยก่อน ชุดสูท 2 กระดุม ไปจนถึงเนื้อผ้าที่นำมาใช้ ชุดของกษัตริย์และขุนนาง ถือเป็นงานละเอียดโดยแท้ โดยสถานที่และชุดการแต่งกายย่อมสอดคล้องกับเนื้อหาของเรื่อง มีการจัดวางไทม์ไลน์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การลอบสังหารกษัตริย์ การทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการกล่าวอ้างบุคคลที่อยู่ในประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง โยงใยกันไปมาทำให้เกิดเป็นเนื้อหาที่สมบูรณ์แบบ

สำหรับดาราที่ดูแล้วมีความโดดเด่น คงไม่พ้นการร่วมทีมโคตรพยัคฆ์ 4 คนได้แก่ “ท่านลอร์ดวอเดอะมอ” หรือ “เรล์ฟ ไฟนส์” ดารารุ่นใหญ่ที่รับบท “ดยุก ออกซฟอร์ด” ผู้นำตระกูลขุนนางในราชวงศ์ของอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีสาวใช้และที่ปรึกษาสุดเซ็กซี่อย่าง “พอลลี่” (รับบทโดย เจมม่า อาร์เทอร์ตัน) มือปืนที่ยิงแม่นยำราวจับวาง “โซล่า” คนขับรถและที่ปรึกษาด้านการต่อสู้ (รับบทโดย ดิจิมอน ฮาวน์ซู) ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของท่านดยุกในการร่วมทำภารกิจต่าง ๆ และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ “แฮร์ริส ดิคกินสัน” ผู้เขียนบทและผู้กำกับหนุ่มมากฝีมือที่มารับบทเป็น “พลทหาร คอนราด” ลูกชายของท่านดยุก ด้วยความเป็นหนุ่มรูปงามสูงโปร่ง คิ้วเข้ม เขาจึงเคยได้รับบทเป็น “เจ้าชายฟิลิป” ในภาพยนตร์เรื่อง Maleficent: Mistress of Evil มาก่อนด้วย

จากภาพยนตร์ตัวอย่าง จะเห็นว่ามีฉากรบกันในแนวหน้า จนกระสุนปืนเกลื่อนเป็นภูเขา ซึ่งฉากการถ่ายทำดังกล่าว ทางผู้กำกับได้สั่งให้เนรมิตพื้นที่ดินหลายไร่ จัดสร้างเป็นเขตแนวสงครามและไม่เน้นการใช้ CG นั่นหมายถึง นักแสดงในฉากนี้จะต้องใช้ความทุ่มเทและความอดทนเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ฉากการต้อสู้รบในสมรภูมิแนวหน้าที่มีความสมจริงสุด ๆ นอกจากฉากสมรภูมิรบแล้ว ผู้ชมยังจะได้เห็นภาพจากมุมกล้องที่ติดอยู่กับโคนดาบในฉากการต่อสู้แบบตัวต่อตัว รวมไปถึงการต่อสู้แบบ เต้นไป-สู้ไป ของวายร้ายอย่าง “กริกอรี รัสปูติน” นักบวชดังในรัสเซีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

จุดอ่อนของ “The King’s Man”
สำหรับผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์มาก่อน แล้วมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้จะทราบว่า เกิดความไม่สมเหตุสมผลขึ้นหลายจุดมาก โดยเฉพาะประเด็นไปโยงเอาผู้ก่อการร้าย มาสร้างตัวตนหรือบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีความเกินจริงไปมาก นอกจากนี้ บทของตัวละครที่สำคัญเรื่องอย่าง “โซล่า” กับ “พอลลี่” ที่จริงควรมีบทที่โดดเด่นกว่านี้ แต่ทางผู้กำกับไปเน้นกรุยทางให้ “คอนราด” ตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้หนังดูเนือยและอืดไปช่วงองค์แรก แต่ยังก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างปมหนังให้ดราม่า ซึ่งผลที่ตามมากลายเป็นว่าบทของ “โซล่า” กับ “พอลลี่” เพิ่งจะมาโดดเด่นตอนหลัง ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

5/5 กะโหลก สำหรับภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่ทุ่มเทและทุ่มทุนสร้าง จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำออกมาได้เนียนตาจริง ๆ ดูแล้วเป็นหนังสายลับย้อนยุคที่อยากจะให้ทำภาคต่อ ๆ ไปอีก ตัวหนังไม่ใช่เน้นเรื่องความสนุกในการโชว์แอ๊คชั่นเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นเรื่องการให้ความรัก ความสำคัญกับบุคคลในครอบครัวด้วย


คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก 20th Century Studios และ เว็บไซต์ยูทูบ