เป็นไปตามกลยุทธของ มาโน โพลกิง ในสภาพที่ตัวเด็ด ตัวเก่ง มากันแน่นทีม เขาต้องการเวลาเพียงนิด เพื่อประสานวัตถุดิบชั้นดีให้กลมกล่อม
นัดสุดท้ายรอบแรก ที่ชนะ สิงคโปร์ 2-0 คือหนึ่งในการหมากสำคัญ ระดับ “รุกฆาต” มาโน เลือกจะพักตัวหลัก เพื่อให้มีเวลาซ้อม มีเวลาประสาน รักษาความฟิตเต็มๆ 7 วัน ก่อนฉะรอบรองชนะเลิศ ที่เจอกับ เวียดนาม
ดาวทอง คือคู่ปรับที่อันตรายที่สุด แต่ด้วยสภาพทีมที่สดยกกล่อง กับการสตาร์ตนัดแรกที่ 2-0 ทำให้เกม 2 ถูกลดความเฮฟวี่เมทัลลง มาเน้นผลการแข่งขัน ซึ่งนี่คือจุดที่ มาโน แสดงให้เห็นว่า เขาก็ติ๊ดชึ่งได้ ไม่ใช่มวยบ้าเลือดลุยอย่างเดียว รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความเฉียบในการบริหารจัดการทีมกับการเล่นทัวร์นาเม้นท์
หลังผ่านคู่แข่งอันตรายสุด มาถึงรอบชิงชนะเลิศ พบ อินโดนีเซีย คู่ปรับแสนอาภัพ ชิง 5 แพ้ 5 และโดนเราหักอกถึง 3
ความประหลาดใจในการจัดทัพนัดแรก ที่เปลี่ยนตัวเพียบ วีระเทพ ป้อมพันธุ์, บดินทร์ ผาลา, ฟิลิป โรลเลอร์ ถูกส่งลงมา แล้วพัก สารัช อยู่เย็น, ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม
การได้ประตูเร็วจี๋ ทำให้ช่องว่างของคลาส ยิ่งถูกถ่าง การพาบอลกินตัวของ สุภโชค สารชาติ ที่ได้พักเกม 2 กับ เวียดนาม, บดินทร์ ผาลา และ ฟิลิป โรลเลอร์ จัดว่าไฟลุก
ถ่อมตัวยังไง ก็ต้องบอกว่า “อินโดนีเซีย” สู้ไม่ได้ สกอร์ขาดลอย 4-0 ที่ตัวเลขที่เหมาะสม
ผลสกอร์แบบนี้ ฉาบด้วยความประทับใจ กับกำลังใจไปถึง “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ในวันที่สูญเสียคุณพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนเริ่มเกมไม่กี่ชั่วโมง
หลังยิงลูก 2 ชนาธิป วิ่งเข้าไปกอด ส่งแรงใจ ก่อนเพื่อนๆตามไป
ยิ่งขึ้นไปอีกคือ มาโน โพลกิง ตัดสินใจส่ง กวินทร์ ลงสนามแทน ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่ไม่ได้เจ็บอะไร ชัดเจนว่า คือการเปลี่ยนตัวลง เพื่อส่งพลังใจให้ กวินทร์ ฝ่ามรสุม
ไม่ใช่เพียงเสียงปรบมือในสนาม แต่แรงใจจากคนไทยก็ส่งไป
4-0 เป็นสกอร์ขาดลอยสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมันคือชัยชนะที่สวยงาม ทั้งรูปเกม, จำนวนประตู และหัวใจ
หัวใจแห่งทีมสปิริต
ยังเหลืออีก 1 นัด ในวันปีใหม่ อาจมีคำตามตำราคือ “อย่าประมาท”
เชื่อเถอะ นักฟุตบอลระดับนี้ ไม่มีคำว่าประมาทอยู่แล้ว
และด้วยความได้เปรียบมหาศาล, ฝีเท้าที่เป็นทุน และสภาพจิตใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ทุกอย่างพุ่งไปสู่จุดพีก
ไม่มีอะไรมาหยุดได้แน่นอน กับแชมป์อาเซียนสมัย 6 และการคืนบัลลังก์เจ้าอาเซียนของทัพช้างศึก.
*** วุฒินล ***
