ตอนนี้ผลประเมินความสำเร็จทางเศรษฐกิจยังไม่ออกมา ว่ากระตุ้นให้เกิดการบริโภคจนทำให้จีดีพีประเทศไทยเพิ่มขึ้นเท่าไร แต่ว่ากันว่า การแจกเงินหมื่นนี่ทำให้คะแนนนิยมของ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พุ่งนำหัวหน้าพรรคฝ่ายตรงข้าม จากที่เวลาสำรวจโพลที่ผ่านๆ มา พรรคก้าวไกลจะนำเพื่อไทยทั้งพรรคทั้งคน.. แต่ก็มีความคิดอีกมุมหนึ่งว่า ท่าทีของ “หัวหน้าเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ( ปชน.) ผู้นำฝ่ายค้าน ดูไม่ดึงดูดใจเท่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้ผ่านการต่อสู้ทางการเมือง โดนใส่ร้ายป้ายสีมาเท่า จนทำให้คนเอาใจช่วย ออกจะเป็นคนทำงานหลังบ้านให้พรรคมากกว่า ก็ต้องให้หัวหน้าเท้งเขาใช้เวลาปรับมาดหน่อย

ว่าไปก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ช่วงไหนนโยบายรัฐกำลังขึ้นหม้อ ผลโพลก็ไปเข้าข้างฝั่งนั้น..ถ้าจะเลี้ยงกระแสต่อเนื่อง ก็อาจต้องเร่งโครงการเฟส 2 ให้มันเร็วๆ ขึ้นจ่ายได้ในปีนี้ทันกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลปีใหม่ ไหนๆ เมื่อหาเสียงว่า“พร้อมทำทันที” ก็อย่าศึกษาอะไรๆ ให้มันยึกยักมากจนน่าเบื่อ เหมือนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องนิรโทษกรรมที่พายเรือวนในอ่างสาละวันเตี้ยลงๆๆๆ อยู่ไม่รู้แล้วกับการบอกว่า “เรายังต้องคุยกันๆๆๆๆๆ” ก็ขอให้พรรครัฐบาลนัดวันสุดสัปดาห์สักสัปดาห์ไปนั่งคุยให้เรียบร้อยแล้วทำอะไรให้มันเร็วๆ ตอนนี้น่าเบื่อเต็มทีกับเกมแก้กติกาเพื่อให้นักการเมืองทำงานได้ เพราะนายกฯอิ๊งค์แทบไม่มีผลงานอะไรที่ริเริ่มเองในการเป็นนายกฯ ..เอาแต่คุยๆๆๆ เรื่องแก้กติกานี่แหละ

เมื่อมีการแจกเงินหมื่น เราก็เห็นภาพชีวิตอะไรหลายๆ อย่าง จากข่าวในสื่อกระแสหลัก หรือข่าวภูมิภาค พวกทำงานข่าวก็มีโอกาสเห็นใน “ตะกร้าข่าว” ด้วย ..ตะกร้าข่าวคือข่าวที่ถูกส่งมายังองค์กรสื่อแต่ไม่ได้รับการพิจารณาให้เผยแพร่ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นประเด็นเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือไม่มีพื้นที่, แอร์ไทมส์เพียงพอ ซึ่งก็เล่าเรื่องการใช้เงินหมื่นของกลุ่มเปราะบางในแง่มุมต่างๆ บางเรื่องก็เป็นความชินชาไปแล้ว และเป็นสิ่งที่ “มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติในสังคมไทยสำหรับหลายๆ คนที่ทำตัวสามล้อถูกหวย”

1 หมื่นเพื่อใคร? | เดลินิวส์

เอาง่ายๆ ว่า ตั้งแต่วันแรกที่แจกราววันที่ 25 ก.ย. มีหลายข่าวที่ส่งเข้ามาว่า “เอาเงินไปซื้อเหล้าฉลองกัน” ที่เป็นข่าวเพราะเมาแล้วต่อยตีกันเอง คนในครอบครัวเดียวกันบ้าง ต่างครอบครัวบ้าง เห็นแล้วนึกถึงสโลแกนของ สสส. เมื่อก่อน “จน เครียด กินเหล้า” นี่คือวัฏจักรที่ทำให้สังคมคนจนของประเทศไทยไม่พ้นจากกับดักความจนง่ายๆ เพราะเงินถูกใช้ไปกับอะไรที่ไม่สร้างรายได้ให้ครอบครัวแล้ว ยังสร้างภาระด้านสาธารณสุขต่อรัฐบาลอีก จนกระทั่งรัฐบาล “อิ๊งค์1” นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ต้องประกาศวาระสำคัญคือการลดโรคไม่ติดต่อ ซึ่งโรคพวกนี้ก็เกิดจากการกิน อย่างเบาหวาน ความดัน เกาต์ หัวใจ ..สุราก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นโรค อีกทั้งยังทำลายระบบประสาท

ด้วยการศึกษาที่น้อย ช่องทางในชีวิตที่ค่อนข้างตีบตัน หลายๆ คนเลือกจะใช้สุราเพื่อความบันเทิงให้ผ่านความเครียดไปชั่วครู่ชั่วยาม..และกลายเป็นการขาดไม่ได้ มีปัญหาทางประสาท นำไปสู่การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งหลายครอบครัวก็ไม่มีทางเลือกนักนอกจากจะอยู่กับความรุนแรงนั้นไป และหากผู้ใช้สุราใช้ยาเสพติดร่วมด้วยก็ยิ่งมีผลต่อระบบประสาท เหยื่อมักจะเป็นคนแก่หรือเด็ก การใช้ความรุนแรงบางครั้งลามไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศ

ให้เงินอย่างไร เท่าไร ก็ดูจะควบคุมยากถ้าในบ้านมีคนมีอาการทางจิตเพราะเหล้า ยา .. ก่อนแจกหมื่น มีเหตุการณ์ที่จังหวัดหนึ่งแถวอีสานใต้ มีชาวบ้านไปพบศพชายคนหนึ่งนอนเสียชีวิตเพราะสะดุดหกล้มหัวฟาดพื้น ในบ้านมียายแก่ๆ พิการอยู่ แล้วต่อมาเมื่อสังคมสงเคราะห์เข้าไปดูแล ถึงได้ทราบว่า ชายผู้ตายเป็นลูกของหญิงชรา เอาแม่มาขังในบ้านเก่าผุพัง ให้อยู่อย่างอดๆ อยากๆ มาเกาะเอาเบี้ยผู้สูงอายุของแม่ไปกินเหล้าหมด วันเกิดเหตุนั้นจะทำร้ายแม่ตัวเองเพื่อขอเงิน แต่ไปๆ มาๆ กรรมตามสนองเสียเอง ไม่รู้เกิดอาการชักหรืออะไรขึ้นมาที่ทำให้หัวฟาดพื้นดับ

ที่เล่าเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่า “ให้เงินหมื่นหรือไม่ให้ ถ้าบทคนมันจะติดเหล้า ติดยามันไม่มีความยั้งคิด ก็เอาไปลงขวดหมด” เปลี่ยนเงินหมื่นเป็นสวัสดิการผู้สูงอายุเดือนละสามพัน ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุน่าขนลุกลักษณะนี้อีกหรือไม่ คราวนี้ได้เงินเพิ่มพวกอกตัญญูแนวๆ เดียวกันยิ่งเปรม..นโยบายห้ามขายสุราประเทศเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่รัฐศาสนา แถมเรื่องสุรานี่เป็นตัวสร้างเศรษฐกิจด้วย ภาษีสรรพสามิตจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่มีตั้งเท่าไร ถ้าจะให้ทำสุราเสรีอีก จะมีผู้เล่นเข้าระบบอีกกี่เจ้า..และจะมีผลกระทบต่อสังคมอีกเท่าไร ? ถ้าตัวเล็กตัวน้อยในหมู่บ้านก็ต้มเหล้าเองได้

ที่ส่งเป็นข่าวกันเข้ามา มีหลายกรณีที่เอาเงินหมื่นไปซื้อเหล้า เมาแล้วตีกันเองหัวร้างข้างแตก หรือมีหมื่นนึงทำกระเป๋าเบาหน้าใหญ่ใจนักเลงเอาไปเปย์สาว อย่างที่มีข่าวลุงคนหนึ่งถูกญาติแจ้งว่าจมน้ำตาย จนเขาไปงมหากันวุ่นวาย ก่อนจะพบนั่งเมาตัวเปียกอยู่ริมน้ำ เพราะเอาเงินหมื่นไปซื้อเหล้า เปย์สาวเลยเมา , มีอีกข่าว ที่น่าสนใจเพราะมันฟ้องสภาพ “ชายเป็นใหญ่เพราะพละกำลัง” มีครอบครัวหนึ่งที่ผู้ชายไปลงทะเบียนรับเงินหมื่นไว้ ถึงวันเงินออกใช้เมียไปกด ปรากฏว่าน่าจะเกิดระบบผิดพลาด ( ก็มีการสรุปว่ายังมีกลุ่มตกหล่นราว 3 แสนกว่า ด้วยเหตุต่างๆ ) พอกลับมา ผัวไม่พอใจไล่ทุบตีเมียเพราะไม่มีเงินซื้อเหล้า เจ้าหน้าที่ไปคลี่คลายคดี สอบกันไปมา พบว่า จริงๆ คู่นี้หย่ากันตั้งแต่ปี 62 แต่ผัวไม่ยอมออกจากบ้าน อ้างว่าไม่มีที่ไป เมียก็ต้องรับเลี้ยงยอมให้เกาะ เพราะกลัวถูกทำร้าย ..ไม่ทราบที่สุดเรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างไร

เงินหมื่น สำหรับคนไม่เคยมี ก็คือความฝัน ขนาดว่า ก่อนตายจะขอจับให้ได้สักครั้ง ที่ จ.ศรีสะเกษ มีผู้ป่วยติดเตียงที่มีปัญหาเบิกเงิน เขาก็ร่ำร้องให้ผู้มีอำนาจหรือผู้รับผิดชอบเข้าไปช่วยเหลือ อารมณ์แบบ “ก่อนตายอยากจับเงินหมื่นสักครั้ง” จนเจ้าหน้าที่แบงค์ต้องมาดูแลถึงบ้าน..คิดแล้วก็สะเทือนใจ นั่นคือคนไม่มี ชีวิตนี้ขอแค่ได้จับก็ได้เพราะตัวเองก็ป่วยเจียนตายแล้ว อาจเป็น“ความสุขสุดท้าย”ที่เขาคิดว่า พอจะให้ลูกหลานได้ .. ภาพของผู้ป่วยติดเตียงรายนี้ ความดีใจแค่ได้จับเงินหมื่น..ทำให้รัฐบาลเองต้องมองให้หนักๆ เรื่องการเข้าถึงทรัพยากร โอกาส และความเหลื่อมล้ำให้มาก  มุมหนึ่งของความเท่าเทียม มันเป็นทั้งความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของประชาชน เป็น“ศักดิ์ศรี”ที่เขาจะได้ไม่รู้สึกต่ำต้อยมาก

ความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนบางคนเกิดความทะเยอทะยาน กระเสือกกระสนจะ “ต้องมั่งมีเขาเชิดชูบูชา” และเข้าสู่วงการมิจฉาชีพไปได้ด้วยวิธีต่างๆ สร้างภาพทำบุญ สร้างแฟนคลับเพื่อดันตัวเองให้เป็น “someone” แล้วผลประโยชน์จะเข้ามา บางคนฉากหน้าสวยงามเบื้องหลังเงินหาได้จากเวบพนันหลอกลวงประชาชน บางคนขายสินค้าอื่นแล้วสร้างภาพรวย ขุดหลุมให้มีคนสนใจอยากซื้อของ ซื้อทอง ออมทองด้วย แล้วที่สุดลูกค้าก็เจ็บหนัก

เดี๋ยวนี้ก็ต้องสังเกตให้ดีๆ เวลาใครมาอวดบ้าน อวดรถ อวดเครื่องเพชร อวดเงินเป็นฟ่อนๆ เนี่ย มาจากขายอะไรไม่สุจริตหรือเปล่า ดูสินค้าที่ขาย ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะใช้ซื้อของแบบที่อวดจริงๆ ดูเทือกเถาเหล่ากอว่ารวยมาจากไหน ..โดนหลอกซื้อของปลอม ของไม่ได้มาตรฐานก็น่าเจ็บใจไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ถ้าโดนหลอกให้เป็น “ลูกข่าย” ไปหาเงินมาหมุนจ่ายกำไรเยอะๆ พอวงขายตรงล้มอีตัวต้นเรื่องหอบเงินหนี พวกหาลูกข่ายก็ซวยไป ต้องรับผิดชอบหรือเสียเครดิต มันเจ็บใจกว่าเพราะเสียทั้งเงินเสียทั้งค่าโง่ ..ในขณะที่พวกอวดเงินอวดรวยจนงานเข้านี่ ก็..ไม่รู้จะพูดอย่างไร..คือชี้เป้าให้ตัวเองมากๆ ทำตัวแบบยาจกตื่นมี คิดว่าดูดี..กลายเป็นทั้งสรรพากรทั้ง ปปง.หวานหมู

เรื่องเงินอีกประเด็นหนึ่ง มันทำให้คน “รู้นำเนื้อใจจริงกัน” แม้กระทั่งญาติพี่น้องก็เล่นงานกันได้กับเงินหมื่น ก็มีข่าวส่งมาเกี่ยวกับยายคนหนึ่งที่จังหวัดทางภาคกลาง ไว้วางใจเอาเงินที่ได้จากการขายของไปฝากออมสิน..คุ้นๆ เหมือนกับว่าจะให้น้องสาวไปฝากให้ จนกระทั่งเมื่อได้เงินหมื่น ยายเอาสมุดบัญชีไปอัพเดตอยากเห็นยอดเงินก้อนใหญ่สำหรับยายเข้า พบว่า เงินถูกแอบปลอมลายเซ็นเบิกไปหมดแล้ว.. เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าธนาคารช่วยได้อย่างไร เพราะมันมีคนเบิกจริงๆ คือตัวนางน้องสาวยาย ก็ขอให้ได้รับความยุติธรรม

ไอ้ที่บ้าๆ บอๆ ก็มีหลายกรณี อีกอันหนึ่งที่นึกออก คือ กดเงินหมื่นไปซื้อยาบ้ามาขาย ก็เอาโทษผู้ค้าอยู่ตะรางยาวไปแล้วกัน เขาให้โทษยาเสพติดแรงเพราะมันบ่อนทำลายสังคมเยอะ ทำลายคน ทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคม สร้างอาชญากรรม , อีกกรณีที่เห็นมีข่าวส่งมา ในต่างจังหวัด สาวทำตัวเป็นจิ้งจอกสังคม ไปตีสนิทกับคนแก่รอ ถึงเวลาหลอกเอาบัตรไปกดเงินหมื่น .. อ่านแล้วก็ขำแห้งว่า ลงทุนขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ก็อย่างว่า เพื่อผลประโยชน์อะไรก็ทำได้

เงินหมื่นเป็นเงินมากมายสำหรับคนจน น่าเศร้าที่“ต้นทุน”บางอย่างหมื่นเดียวก็ยังไม่พอสำหรับพวกเขา ที่ จ.บุรีรัมย์ มีรายงานข่าวกรณีหนึ่งที่ได้รับเงินหมื่น ผู้รับเงินดีใจขับมอเตอร์ไซด์ไปกดเอทีเอ็มจะได้ใช้หนี้สิน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เจอค่าทำศพเสียไป 5 หมื่น ..มันก็ชวนให้คิดว่า“ค่าจัดการความตาย”ของคนเรามันแพงนักสำหรับหลายๆ คน เพื่อให้ทำพิธีได้ต้องกลายเป็นหนี้สิน เช่นนี้ควรมีเงินสงเคราะห์ตรงนี้ด้วยหรือไม่ ( แต่ไปคิดจะเพิ่มสวัสดิการอะไรให้ประชาชนนั้นยาก เพราะประเทศไทยเราไม่ได้เก็บรายได้ดีขนาดเพิ่มอะไรได้ง่ายๆ )

เงินหมื่นในแง่ดี ตรงตามที่รัฐบาลอยากให้เป็นก็มี อย่างเห็นแชร์เรื่องในติ๊กต่อก ว่า มีบางบ้านได้เงินหมื่นมากกว่าคนเดียว เอาไปลงทุนซื้อวัตถุดิบทำน้ำพริกแห้งขาย ซึ่งเป็นของที่เก็บไว้ได้ไม่บังคับขายวันเดียวต้องหมด และสร้างให้เกิดเงินหมุนเวียนได้ ..น่าสนใจว่า ถ้ารัฐบาลต้องการให้เงินหมื่นกระตุ้นการสร้างงาน รัฐบาลเองก็ต้องมีหน่วยงานแนะนำงานให้ประชาชน เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิด หรือมีทักษะชีวิตที่เท่าเทียมกัน อย่างน้ำพริกแห้งนี่ก็จัดเป็นอาหาร หมวดหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์ ก็ควรให้มีกองทุนหรือกรรมการขึ้นมาสนับสนุนเสียที ตั้งแต่นายกฯอิ๊งค์รับตำแหน่ง เรื่องนี้เงียบไป

อย่ามัวเอาเวลาไปแก้กฎหมายเอาใจนักการเมืองมาก ทำเรื่องเศรษฐกิจปากท้องให้ดีมากๆ เถอะ.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่