ก็อย่างเช่น เรื่องปลาหมอคางดำ ที่เป็นปริศนาอยู่ว่า มันแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างไร เรื่องการรังวัดที่ดินรุกป่าทับลาน ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบด้วยการเฉือนที่ป่าสงวนไปให้ใครหรือไม่อย่างไร คือวาระของรัฐบาลมันต้องทำต่อเนื่อง จนกว่าปัญหาจะยุติ
แต่ความล่าช้าของรัฐบาล ก็มาจากการใช้ประมวลจริยธรรมแบบเกินขนาด เรียกว่าการถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นเก้าอี้นายกฯ ด้วยเหตุขาดคุณธรรมจริยธรรม ที่แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ที่เคยต้องคดีความผิดอาญา เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเอาจริง เรื่องการรับผิดชอบที่แต่งตั้งนี่ ผู้แต่งตั้งไม่ควรจะต้องโดนโทษถึงถอดถอนจากตำแหน่ง แถมถ้อยคำที่ใช้ถอดถอนก็มีผลผูกมัด “เป็นผู้ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม” ไปพันกับคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก ก็เปรียบเสมือนใช้จริยธรรมมาประหารชีวิตทางการเมือง
การตั้งรัฐบาลล่าช้า ก็เพราะมีคน “ดัดจริตดี” เพิ่มขึ้น เหมือนคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญเป็นเนื้อติดกระดูกให้หมาโดดแทะ คราวนี้เรื่องหยุมหยิมจิ๋มจุ่มอะไรก็จะร้องมันดะล่ะ เขียนสำนวนจับแพะจับแกะโยงกันให้เข้าข่ายผิดจริยธรรมให้ได้ เป้าหมายคือมุ่งล้างทางการเมือง ..ซึ่งคิดว่า นักร้องพวกนี้เล่นแต่ฝ่ายการเมือง ดังนั้น ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะมีการตรากฎหมายอะไรมาเล่นงานนักร้องบ้างในกรณีร้องเท็จ ร้องเรื่อยเปื่อย ร้องหวังผลทางการเมือง ( ซึ่งก็ดูจะยากเพราะนักร้องก็จะอ้างว่า เป็นการทำหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยๆๆๆ )
ดังนั้น เห็นด้วยที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ จะเอาตามที่พรรคประชาชน ( ปชน.) เสนอ คือ “ในส่วนมาตรฐานจริยธรรม และเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ จะแก้ไขถ้อยคำให้รัดกุม ไม่ให้เกิดการตีความที่กว้างขวาง” โดยทุกพรรคการเมืองจะร่วมกัน .. ใครอย่าไปพูดว่าจะยกเลิกประมวลจริยธรรม แต่เขาจะปรับให้คนมันทำงานได้ ไม่ใช่อะไรๆ ก็เสี่ยงจะโดนร้อง แค่ทำมินิฮาร์ทก็โดนร้อง ระแวงจนขยับตัวไม่ได้ไปหมด ..เชื่อว่า หลายคนมองว่า นักร้องมีเรื่องการเมืองอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อะไร
เอาเป็นว่า ให้เรื่องจัดการประมวลจริยธรรมให้เข้าที่ ให้ทำงานกันได้ ก็ถือให้เป็นวาระร่วมของรัฐสภาไปเลยล่ะกัน วันนี้ก็มาว่าถึงเรื่องน่าสนใจในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา คือเรื่องมาตรการปราบปรามแกงค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยตลกไม่ออกกับความเหิมเกริมหนัก… มีคนรู้จักอยู่รายเจอโทรมา ก็รับแล้วก็ด่าๆๆๆ หลังจากนั้น เขาก็ถูกรบกวนโดยสายโทรศัพท์ปริศนาบ่อยๆ ..โทรกลับมาด่าอารมณ์แบบเอาคืน ใช้คำหยาบถอดความเป็นคำสุภาพได้ว่า “รู้ว่าเป็นแกงค์คอลเซนเตอร์แล้วยังสาระแนรับอีก เจ้าคนโง่” ..ประโยคจริงมันหยาบกว่านี้
เราถูกทำให้เชื่อว่า คอลเซนเตอร์ตั้งหลักปักฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน บางเบอร์ที่โทรมาก็ยาวแปลกๆ ซึ่งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาอีกว่า “เงินจากแกงค์คอลเซนเตอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกนำมาหมุนใช้ในธุรกิจสีเทาเมืองไทย” ที่สำคัญคือ ไปจ่ายพวกทหาร ตำรวจ นักการเมือง เพื่อ “อำนวยความสะดวก” ให้กลุ่มทุนเทา ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องบอกว่า สอบลงไปลึกๆ ยากเพราะมันเกี่ยวพันกับกลุ่มมีอิทธิพล ใครออกมาแฉทั้งขบวนการได้อาจกลายเป็น suicide bomb ระเบิดฆ่าตัวตายเอง ในเรื่องทุนเทา ที่มีทั้งยาเสพติด การพนัน คอลเซนเตอร์ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายในวันแถลงนโยบายรัฐบาลว่า บริเวณทางเหนือของประเทศไทยเป็นจุดที่มีการซื้อขายไฟฟ้า ในพื้นที่ อ. แม่สาย จ.เชียงราย แล้วข้ามส่งไฟฟ้าไปที่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่เขตอิทธิพลของว้า มีหลักฐานที่ชัดเจนผ่านคดีทุนมินลัต ว่ามีการชำระค่าไฟฟ้าให้การไฟฟ้าแม่สายผ่านบัญชีม้า มากกว่า 500 บัญชี อยากอาศัยโอกาสนี้ฝากถึง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่าบัญชีม้าเหล่านี้ยังไม่มีการขยายผลจับกุม นายกฯ รมว.มหาดไทย รมว.ยุติธรรมจะทำอะไรในเรื่องเหล่านี้
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า รวมทั้งการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างความเสียหายคิดกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเส้นทางการเงินหลังจากที่ประชาชนถูกหลอกจะไหลเข้าสู่บัญชีม้า และไหลต่ออีกหลายทอด สุดท้ายเส้นทางเงินเหล่านี้ตามที่ฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบ จะเชื่อมโยงไปยังขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ได้มาเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกาสิโน ตามตะเข็บชายแดน หรือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สีหนุวิลล์ ปอยเปต ประเทศกัมพูชา หรือสามเหลี่ยมทองคำ ในเขตลาว มีการโอนเงินเป็นทอดๆ และเปลี่ยนเป็นเงินคริปโตเคอร์เรนซี
ปัจจุบันไทยมีบัญชีม้ากว่า 4 แสนบัญชี ที่เป็นเส้นเลือดสำคัญของคอลเซ็นเตอร์ จึงเรียกร้องรมว.ดีอี ต้องให้ความสำคัญการปราบปราม ธนาคารต้องร่วมรับผิดชอบ ขณะที่ชายแดนตะวันตกของเราก็ยังมีการส่งไฟฟ้าไปยังเมียวดี อำนวยความสะดวกสารพัด และมีแสกมเมอร์ 1 แสนคนอยู่ในพื้นที่ วันนี้ตัดไฟแต่ยังไม่รื้อถอนเสา การไฟฟ้าฯ ตอบตนว่าเผื่ออนาคตจ่ายไฟอีก ดังนั้นคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดจริงๆ แล้วเราเป็นผู้สร้างขึ้นมา และรัฐบาลเป็นผู้ให้กำเนิดโดยอ้อม เรื่องยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์และสถานบันเทิงครบวงจร เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากไม่ระมัดระวัง ก็ไม่ต่างกับการที่ยกประเทศชาติให้ทุนเทาดำ นำประเทศไปพัวพันเครือข่ายอาชญากรรข้ามชาติ
วิธีแก้ปัญหาไล่จับก็เรื่องหนึ่ง แต่อย่างว่า ถ้าเข้าไปในเขตอิทธิพลประเทศเพื่อนบ้าน ก็ประสานอะไรยาก เพราะนายรังสิมันต์ก็อภิปรายอยู่แล้วว่า บางพื้นที่ขายอาวุธจนแทบจะเป็นเขตปกครองตัวเอง ทหารเมียนมาจัดการไม่ได้ อีกวิธีหนึ่ง คือการมีมาตรการช่วยเหลือในประเทศ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้สะท้อนภาพหนึ่งว่า “ธนาคารไม่ค่อยออกมาตรการอะไรมาช่วยเหลือ เพราะความรับผิดชอบของธนาคารต่ำ เลยมีแต่เตือน”
นายวิโรจน์เล่าเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมได้ทำหนังสือไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) เพื่อขอรายงานการประชุมคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) เพื่อติดตามว่า ธปท. 1. มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างไร มีกำหนดการแล้วเสร็จเมื่อใด 2. มีความตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกจนหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัวหรือไม่ 3. มีความตระหนักถึงความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหานี้มากเพียงไร แต่ปรากฏว่า ธปท. อ้างมาตรา 74 ของ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ยอมเปิดเผยรายงานการประชุม การแก้ไขล่าช้า ไม่ใส่ใจในชีวิตของประชาชน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่า ธปท. จะชี้แจง และออกมารับผิดชอบกับประชาชนอย่างไร
“ต้องตั้งคำถามกับนายเศรษฐพุฒิว่า ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) และประธานคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ที่ต้องทำหน้าที่กำกับดูแล เมื่อไร ธปท. จะออกประกาศมาตรการหน่วงการโอนเงิน เพื่อลดความสูญเสียของเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ดีว่า เหยื่อจำนวนมากมักจะรู้ตัวทันทีเมื่อถูกหลอก แต่ด้วยระบบการโอนเงินที่เป็นแบบตามเวลาจริง จึงทำให้แก้ไขอะไรไม่ได้ การหน่วงการโอนเงินเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยมีระยะเวลาหน่วง ขึ้นอยู่กับมูลค่ายอดเงินโอน (โดยคำนึงให้ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมการค้าการขายของประชาชน) จึงเป็นมาตรการที่มีประสิทธิผลอย่างมาก ในการช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างทันท่วงที ทำไม ธปท. จึงไม่ยอมเร่งออกมาตรการดังกล่าว หรือว่าเกรงใจบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจการโอนชำระเงินระหว่างธนาคาร
2. เมื่อไร ธปท. จะกำหนดความรับผิดชอบของ ธ.พาณิชย์ เพื่อปกป้องบัญชีเงินฝากของประชาชน ทั้งๆ ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 6233/2564 คำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 468/2566 (แม้จะเป็นกรณีบัตรเครดิต แต่ก็สามารถนำมาเทียบเคียงได้) เป็นบรรทัดฐานแล้ว และนายเศรษฐพุฒิก็ทราบดีว่า ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือประเทศที่ธนาคารพาณิชย์มีระดับความรับผิดชอบที่ต่ำ ประชาชนได้รับการชดเชยเยียวยาในระดับที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
เพราะถ้าธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ก็จะไม่มีแรงจูงใจในการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยในการปกป้องบัญชีของประชาชน ถ้าถึงขั้นที่ ธปท.ตกต่ำขนาดที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เอาไปแอบอ้างหลอกเงินประชาชน แล้วนายเศรษฐพุฒิ ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำได้แค่โพสต์เฟซบุ๊กเตือนประชาชน นายเศรษฐพุฒิ ก็ควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว” สส.พรรคประชาชน ได้ฝากถึง “ผู้ว่าฯนก” ไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นที่ฮือฮาอยู่ระดับหนึ่ง เพราะภาพที่ผ่านๆ มาคือ ทางพรรคประชาชนค่อนข้างโอเคกับผู้ว่าฯ ธปท.คนนี้ ที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน โดยเฉพาะเรื่องดิจิทัลวอลเลต แต่วันนี้ คนของพรรคกลับออกมาเปิดหน้าไฝว้เอง
เรื่องนี้ น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ตามที่มีข้อเสนอคือให้หน่วงเวลาโอนเงินทุกกรณี บางอย่าง เช่น เวลาจ่ายโอนซื้อสินค้าให้รอ 3 ชั่วโมงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ ธปท.พยายามทำคือ จะหน่วงธุรกรรมที่มีความเสี่ยง หน่วงเฉพาะบัญชีม้า การโอนเงินเข้าบัญชีม้านั้นจะไม่สามารถโอนเงินได้ ตอนนี้สิ่งที่คิดตั้งใจทำ มีระบบขั้นตอนไม่ได้ง่าย คือ หน่วงตั้งแต่ขาเข้าขาโอนไปถ้ามีธุรกรรมที่มีความเสี่ยง ถ้าธุรกรรมที่พิสูจน์ตัวตนซึ่งมีบางแบงก์ทำบ้างแล้ว
“ถ้าแบงก์มองเห็นว่าอันนี้เป็นธุรกรรมที่ต่างจากปกติ ก็จะโทรหาลูกค้าว่าแน่ใจหรือไม่ที่จะโอนเงิน และเป็นสิ่งที่ ธปท.ให้ความสำคัญมาก นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์จะเริ่มทยอยออกมาตรการเพิ่ม เป็นมันนี่ล็อค คือล็อควงเงินในโมบายแบงก์กิ้ง เช่น มีเงินก้อนหนึ่งก็ตั้งล็อคไว้ไม่ให้โอน ซึ่งรูปแบบนี้ธนาคารออมสินออกมาแล้ว คือ โอนให้ได้แค่พ่อแม่เท่านั้น แต่ถ้าเป็นชื่อคนอื่น จะต้องรอไว้ก่อน และต้องมีวิธีการพิสูจน์ยืนยันว่าจะโอนเงิน”
ก็หวังว่าเรื่องคอลเซนเตอร์นี้ ทั้งรัฐบาลทั้งฝ่ายค้านจะช่วยดันเป็นวาระแห่งชาติ ไม่แพ้วาระนักการเมืองเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะมันส่งผลต่อชีวิต ขวัญกำลังใจของคนโดนหลอก และเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับธุรกิจสีเทาๆ ที่จะมาทำร้ายบ้านเมืองไทย.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”
