ทว่าตลาดขนาดใหญ่แห่งนี้ ก็มีการแข่งขั้นครั้งใหม่เกิดขึ้น ด้วยการนำเสนอสินค้าราคาถูกมาก ซึ่งมักจะโดนใจผู้บริโภคชาวจีนรุ่นใหม่ที่พยายามเก็บออม และใช้ชีวิตแบบประหยัดเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ

ชานมไข่มุก ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ทั้งแบบใส่นมและไม่ใส่นม ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน ประจวบเหมาะกับความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยผู้บริโภคต่างลังเลที่จะควักเงินออกจากกระเป๋า สวนทางกับทางการจีน ที่พยายามทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย

แม้เครือร้านชานมไข่มุกหลายแห่งในปัจจุบัน เคยสร้างฐานลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ซึ่งมีราคาประมาณ 25-40 หยวน (ราว 120-192 บาท) และแบรนด์ที่สะดุดตา ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตในเมืองแบบร่วมสมัย แต่ภาคส่วนนี้ต้องเผชิญกับ “คลื่นลูกใหม่” ของผู้ประกอบการที่มีต้นทุนต่ำ โดยบางรายจำหน่ายชานมไข่มุกในราคาเพียง 1 ดอลาร์สหรัฐ (ราว 34 บาท) หรือต่ำกว่า

“ตลาดชานมไข่มุกในปัจจุบัน อยู่ในภาวะอิ่มตัวแล้ว ซึ่งการลดราคา เป็นวิธีเดียวที่เป็นไปได้สำหรับบริษัทหลายแห่ง เพื่อเน้นย้ำถึงความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดของพวกเขา” น.ส.สเตซี เฉิน วล็อกเกอร์ชานมไข่มุก ในเมืองหางโจว ทางตะวันออกของจีน กล่าว

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมชานมไข่มุกของจีน เฟื่องฟูในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะนี้มีแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย และจำนวนร้านค้ารวม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 500,000 ร้านทั่วประเทศ โดยบริษัทที่กำลังมาแรง คือ “มี่เสวี่ย ปิงเฉิง” (Mixue Bingcheng)

นางเอเวอลีน ฉาง นักวิเคราะห์ตลาดจากบริษัท ไชน่า สกินนี กล่าวว่า ความรู้สึกของผู้บริโภคชาวจีนในปัจจุบัน คือการเห็นร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่ง ลดราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขา ซึ่งมี่เสวี่ย มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำในกลุ่มชานมไข่มุกราคาถูก พร้อมกับเสริมว่า การแข่งขันที่ต้องขับเคี่ยว และผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเหมือนกันหมด ทำให้เกิด “สงครามราคา” ในภาคส่วนนี้

อนึ่ง การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการระบาดใหญ่ ที่ชาวจีนทุกคนรอคอยมานาน ยังคงไม่เป็นรูปธรรม เนื่องจากปัญหาในภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ และความตึงเครียดด้านการค้าที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกทั้งการเติบโตของยอดขายปลีกที่ยังคงซบเซา และอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ล้วนทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทใหม่ที่นำเสนอสินค้าราคาถูก เช่น มี่เสวี่ย จึงน่าดึงดูดใจมากขึ้น สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพรุ่นใหม่ ที่ต้องการประหยัดเงินขณะทำงานในเมืองชั้นนำของจีน

“เมื่อก่อนนี้ เราทุกคนมองว่ากาแฟเป็นสินค้านำเข้า หรือสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ปัจจุบัน ฉันสามารถซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยนี้ได้ในราคา 9.9 หยวน (ราว 48 บาท) หรือ 8.8 หยวน (ราว 42 บาท) แล้วทำไมฉันต้องจ่ายเงินมากกว่า 20 หยวน (ราว 96 บาท) เพื่อซื้อชานมไข่มุก 1 แก้วด้วยล่ะ?” เฉิน กล่าวทิ้งท้าย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP