“ในกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน จะได้ก่อนเดือน ต.ค. เป็นเงินสด ซึ่งไม่ได้จำกัดระยะและสินค้าที่ซื้อได้ เชื่อว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เหมือนกัน ส่วนกลุ่มที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว จะได้รับการแบ่งจ่าย 2 งวด งวดแรกไม่เกินสิ้นปี 2567 และรอบ 2 ในปี 2568 รอบละ 5,000 บาท หากโปรแกรมจ่ายเงินเป็นดิจิทัลทันในปีนี้ ก็จ่ายงวดแรกเป็นดิจิทัลด้วย หากทำไม่ทัน ก็จ่ายงวดแรกเป็นเงินสด”

ซึ่งก็ไม่ทราบวิธีจ่ายเงินสด จะให้ใช้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น หรือให้ผ่านทางบัญชีธนาคารให้ถอนออกมาใช้ได้ แต่เชื่อว่าหลายๆ คนคงภาวนาให้ระบบดิจิทัลอะไรมันเสร็จไม่ทัน เพราะจะรับเป็นเงินดิจิทัลมันยุ่งยาก ร้านที่รับเงินนี้ได้มีไม่ได้เยอะมาก ( บางร้านไม่กล้าเข้าระบบ กลัวต้องเสียภาษี มันเชครายได้ได้ เหมือนกรณีคนละครึ่ง ) แถมจะต้องไปใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากบ้านที่ตัวเองมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้น .. คนไทยโยกย้ายถิ่นฐานเข้าเขตเมืองใหญ่มาตั้งมาก จะให้ไปใช้ที่บ้านนอกก็ต้องรอเวลากลับไป แถมเผลอๆ บางหมู่บ้านก็ไม่มีร้านอะไรที่จะรับเงินดิจิทัล

ตอนเสนอโครงการก็ขายฝันหวานกันใหญ่ ใช้คนเดียวก็ใช้ได้ ใช้ลงทุนก็ใช้ได้ เช่น ถ้าได้บ้านละหมื่น สมมุติบ้านนี้มีแปดคน ก็รวมตัวกันแล้วซื้อของมาลงทุนทำขาย ..ซึ่งในโลกแห่งความจริงมันก็ถือว่าทำได้แหละ ไม่อยากจะว่าฝันเฟื่อง เนื่องจากโครงการยังไม่ได้เริ่ม ( ทั้งที่หาเสียงว่า ทำทันที ) ก็น่าจะมีใครไปส่งเสริมอาชีพในชุมชนให้กระมัง ถ้ารัฐบาลจะขายฝันเรื่องการใช้เป็นเงินลงทุนเพื่ออาชีพในครอบครัว ก็น่าจะมีอะไรที่เป็นแนวทางส่งเสริมอาชีพ

เอาเรื่องนี้ไปคุยกับหลายๆ คน เขาว่า “สุดท้ายมันก็เป็นเบี้ยหัวแตก” เพราะจ่ายเป็นรายจ่ายปลีก ถ้ารัฐบาลอยากส่งเสริมการลงทุน ขอให้มีนโยบายให้ธนาคารปล่อยกู้สินเชื่อแก่บุคคลหรือเอสเอ็มอีให้ง่ายขึ้น ลดดอกลงดีกว่า เขาว่า การให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อส่วนบุคคลได้ง่าย จะช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเท่าที่เห็นข่าวเจ้าหนี้ดอกโหด ทวงหนี้ดอกลอยอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านที่ไปยืมเงินก็ไม่กล้าทำอะไรกลัวถูกทำร้าย ..การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนี่ก็คือการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลเรื่องหนึ่ง ซึ่งสมัยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ทำไว้เป็นบรรทัดฐาน เราต้องมาดูนายกฯ อิ๊งค์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะทำตรงนี้อย่างไร ดูๆ ตอนนี้ไม่มี “ตัวห้าวเป้ง” ที่เปิดชื่อมาว่าทำงานนี้แล้วมิจฉาชีพกลัวด้วย

ก็ฝากรัฐบาลพิจารณาเรื่องเข้าถึงสินเชื่อรัฐด้วยแล้วกัน…แต่เงินดิจิทัลวอลเลตแบ่งจ่ายนี่ “สส.ไหม” น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนยังหวังว่าไม่ใช่เรื่องจริง รอให้มีความชัดเจนจากผู้มีอำนาจโดยตรง ( ซึ่งนายภูมิธรรม ให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง แถลง ) ถึงไม่อยากให้จริง แต่การแบ่งจ่ายเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะกระทั่งงบประมาณปี 68 ผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ไปแล้ว รัฐบาลยังไม่สามารถหาแหล่งที่มางบประมาณมาจากให้ที่จะแจกประชาชน 30 ล้านคนได้ เงินเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ 187,700 ล้านบาท เพียงพอแจกเพียง 19 ล้านคน ยังเป็นปัญหาที่เราจะสอบถามรัฐบาลว่าทำอย่างไรต่อ เมื่อพูดว่า แบ่งจ่าย2 งวดซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ว่าเม็ดเงินไม่พอ จึงต้องมีการแบ่งจ่าย อีกอีก 5,000 บาท งวดที่ 2 จะแจกเมื่อไร เมื่องบประมาณปี พ.ศ.2568 ไม่น่าเพียงพอ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนไปจ่าย ในปีงบประมาณ 2569 หรืออีก 1 ปีต่อจากนี้ เรื่องเหล่านี้ยิ่งออกมาพูด ยิ่งสร้างความไม่ชัดเจน

“ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น จากเดิมที่จะเป็นพายุหมุนกระแทกๆ ตอนนี้พายุได้ลดกำลังลงเหลือเพียงแค่หย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งอาจไม่เกิดเท่าที่เคยโฆษณาเอาไว้ แล้วจะมีมาตรการใดเข้ามาเสริม ที่ทำให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้าหมาย ความไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปมา ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นลดลง แล้วเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนจบปริญญาตรี 25,000 บาท คำสัญญาเหล่านั้นค่อยจางหายไป สิ่งเหล่านี้สร้างผลกระทบต่อความเชื่อมั่นรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อความกล้าในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการลงทุน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

สส.ไหมกล่าวด้วยว่า ความสับสนกลับไปกลับมาไม่ได้มาจากเจตนาที่ต้องการให้เกิดการคอร์รัปชั่น แต่การที่ไม่คิดอย่างรอบคอบไปจนจบ ก็อาจจะทำให้เกิดช่องโหว่กับตัวระบบได้ เป็นเรื่องของความกังวล ท้ายที่สุด ระบบการชำระเงินถูกเร่งรัดให้เกิดขึ้น อาจจะถูกโจมตีได้จากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านดิจิทัล ส่วนความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย น่าจะค่อยๆ คลายไปทีละเปลาะแล้ว ยังเหลืออยู่เพียงไม่กี่เรื่อง และไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ความเสี่ยงที่เหลืออยู่คือการที่ทำโครงการนี้ไม่สำเร็จไปตลอดรอดฝั่ง เมื่อลงทุนลงแรง ทั้งทรัพยากรและงบประมาณต่างๆเพื่อใช้โครงการนี้ค่อนข้างมากแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง

ก็ได้แต่หวังว่า วันที่ 12 ก.ย.นี้ ที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย จะมีความชัดเจนเรื่องการแจก เรื่องผลการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นด้วย ให้มั่นใจได้ว่า “อยู่ดีกินดีทั้งแผ่นดิน” ได้ เพราะคนไทยหลอนด้วยคำว่า “รัฐบาลกู้มาสร้างหนี้” มาก สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฝ่ายค้านที่ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ก็ด่าว่าดีแต่กู้ สร้างมโนภาพอะไรต่างๆ มากมายร้ายๆ ว่า กู้มาแล้วต้องติดหนี้เจ็ดชั่วโคตร สุดท้ายต้องขายแผ่นดินใช้หนี้ ฯลฯ ..แต่พอมาเป็นรัฐบาล เพื่อไทยก็กู้ ไม่ต่างกัน แถมยังจะถูกว่าหนักซะอีก….ไม่จำเป็นเพราะกู้มาแจก

ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นนโยบายที่จะถูกรุมทึ้งหนักที่สุดในการแถลงนโยบายรัฐบาล ที่เขาจะถามถึงความคุ้มทุน ที่มาของเงิน และนโยบายต่อไป คือนโยบายเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพลกซ์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เป็นกลุ่มนโยบายเดียวกับเอาเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินหรือไม่ แต่“ความเป็นเมืองพุทธ”ทำให้เศรษฐกิจใต้ดินไทยเติบโตมหาศาล เพราะอะไรจะทำให้ถูกกฎหมายก็ถูกว่ามอมเมา ก็กลายเป็นเรื่องเทาๆ ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้หากิน เก็บส่วยไป บางที่ว่ากันว่านักการเมืองอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ เพื่อหาเงินมาทำธุรกิจการเมือง

บ่อนพนันประชิด 'แม่สอด'น่าห่วง | เดลินิวส์

เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพลกซ์ เท่าที่มีการแพล่มแผนออกมา คือ ต้องกำหนดพื้นที่ อาจเป็นเมืองใหญ่ด้วย และพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจการจ้างงานในพื้นที่นั้น ภายในเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพลกซ์ ไม่ใช่มีแต่บ่อน แต่ยังมีฮอลล์จัดคอนเสิร์ต สวนสนุก โรงภาพยนตร์ ร้านค้า ฯลฯ ด้วย ..อย่างไรก็ตาม หลักๆ คนก็ดูแต่บ่อนนั่นแหละ ว่า “จะกำหนดเงื่อนไขอะไรในการให้คนไทยเข้าไปเล่น” ที่ไม่ให้เพิ่มปัญหาการพนัน ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆ ทั้งหนี้สิน ความรุนแรงในครัวเรือน ยาเสพติด

ก็มีการตั้งข้อสังเกตอยู่ว่า “การเปิดเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพลกซ์ ไม่ได้ช่วยลดการพนันอย่างมีนัยยะสำคัญ” โดยคนที่คิดแบบนี้เขาว่า ตามแผนของรัฐบาล คาสิโนมันจะต้องจำกัดโดยดูรายได้ เงินในบัญชีของคนเล่นต้องมีมากพอ ซึ่งก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ข้ามไปเล่นที่เกาะกงได้นั่นแหละ แต่การพนันในเมืองไทยมันเป็น “เส้นเลือดฝอยยิบย่อย” คือมันมีบ่อนเยอะถ้ารู้แหล่ง คนเล่นก็พวกชนชั้นกลางถึงล่าง ซึ่งมีปัญหาเรื่องหนี้สินและความยากจนอยู่แล้ว

เปิดเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพลกซ์ไป คนกลุ่มนี้เล่นไม่ได้ ก็ยังแสวงหาบ่อนตามตรอกซอกซอยอะไรเล่นต่อไป บ่อนเล็กๆ ก็ยังแอบเปิดคงเดิม บ่อนใหญ่เก็บภาษีได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้ช่วยในการแก้ปัญหาการพนันมากนัก ..แต่ก็ต้องหวังให้รัฐบาลเห็นถึงจุดนี้และจัดการพวกบ่อน ซ่อง หวย หนี้นอกระบบใต้ดินแบบแยกส่วนกับคาสิโน

วันก่อน ได้ฟังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พูดเรื่องอนาคตประเทศไทยในฟอรั่มแห่งหนึ่ง และพูดถึงเรื่องการเอาเงินจากใต้ดินมาใช้ในการ “พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเยาวชนไทย” รู้สึกน่าสนใจดี สมัยรัฐบาลทักษิณก็มีเรื่องการส่งเด็กไปเรียนเมืองนอกด้วยทุนหวยบนดินอยู่ สิ่งที่อดีตนายกฯ พูดมันดูเป็นความฝันที่จับต้องได้ และทำให้คนภูมิใจในความมีตัวตนของตัวเอง ….อดีตนายกฯ ยกตัวอย่างภาษีที่เก็บจากบ่อนออนไลน์สัก 30% ก็หลักแสนล้าน..เอาเงินตรงนี้มาพัฒนาการศึกษา เช่น ส่งเด็กเรียนนอก หรือพัฒนาครูเป็นสองภาษาก็ได้

มันทำให้เยาวชนหลายๆ คนรู้สึกว่า ตัวเองมีโอกาสไปเรียนนอก เพราะทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น การจบนอกสำหรับสังคมไทยคือดูมีราคา ยิ่งนักเรียนทุนยิ่งดูดี และยังเอาเงินตรงนี้ไปพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อ“ส่งคนออกนอก” โดยนายทักษิณยกตัวอย่างบราซิล ที่พัฒนาคนเป็นนักกีฬาส่งออก หรือการสร้างนางแบบ นายทักษิณยกตัวอย่างสาวอีสานจมูกแบนๆ ซึ่งถูกกำกับด้วยมายาคติไม่สวย แต่บ้างก็ว่าเป็นแนว exotic ก็ดันขึ้นรันเวย์โลกได้ ( แบบรจนา เพชรกัณหา นางแบบไทยที่บุกเบิกรันเวย์โลกรุ่นแรกๆ ) มันก็คือโอกาสของคนที่อยากมีตัวตน

เมื่อเอาที่นายทักษิณมาคิดๆ ดู ก็คือการเล่นกับจิตวิทยา ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “เออ เขามีโอกาสจะมีตัวตนได้” และโอกาสที่กิจการบางอย่างจะเติบโต เช่น ฝึกสอนกีฬา ฝึกสอนบุคลิกภาพ ฝึกสอนเรื่องการตัดเย็บก็มากขึ้น ถ้าเราผันเงินจากเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาใช้ได้ …นายทักษิณยังบอกว่า “หลักของพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนเขาต้องการความเท่าเทียม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในบริบทของสังคมไทย ดังนั้น เขาจึงจะอยู่ในบริบทของการเมือง ส่วนของพรรคเพื่อไทยอยู่ในบริบทของการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมของประชาชน เราเน้นโอกาส เขาเน้นสถานะ ไม่เหมือนกัน ผมใช้แบบนี้มาตั้งแต่ปี 2541 และชนะด้วยคำเดียวคือโอกาส วันนี้ไม่ใช่คนไทยงอมืองอเท้าหรือไม่ฉลาด แต่เป็นเรื่องของโอกาส”

การได้เงินรายได้จากการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน ก็เป็นเรื่องดีเพราะมันเป็นการเพิ่มโอกาส อย่างที่เราเห็นเรื่องของการส่งเด็กไปเรียนนอกด้วยทุนหวยบนดินสมัยรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นปกติที่มีกระแสคัดค้านด้วยคำว่า “กลัวมอมเมา” แต่ถ้าจะให้พูดชัดๆ ว่า จะสร้างปัญหาสังคมหรือช่วยสังคม เห็นทีจะต้องรอดูตัว พ.ร.บ.ออกมาก่อนดีกว่าชิงตีปลาหน้าไซสกัดไปก่อน

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่