พรรคเพื่อไทยก็เดินเกมเร็วรีบโหวตนายกฯ ทำให้คิดๆ กันว่า ไม่น่าจะตั้งรัฐบาลนาน แต่กลายเป็นว่า กรณีนายกฯ นิด เป็น moral effect   ผลกระทบจากจริยธรรม ทำให้ต้องคัดกรองคนที่ “ไม่มีเรื่องด่างพร้อย” มาเป็นรัฐมนตรี การตั้งรัฐมนตรีเลยล่าช้าตรงการสอบประวัตินาน ต้องมีการส่งตัวเลือกมา จนเพิ่งได้ ครม.เมื่อวันที่ 4 ก.ย.

ก็มีการแสดงความเห็นถึงโฉมหน้า ครม.ว่า “ครม.ญาติพี่น้อง” ถ้าบางคนเกลียดรัฐบาลนี้ก็ใช้เป็น “ครม.สืบสันดาน”ไปเลย เอาตั้งแต่ตัวนายกฯ “อิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร” ก็เป็นลูกสาวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร , น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม ก็เป็นลูกสาวนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล นักการเมืองดังเมืองย่าโม , นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็เป็น “บ้านใหญ่พนมสารคาม” มารับเก้าอี้แทนลูกชาย นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา รมช.เกษตรและสหกรณ์ น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ รมช.คมนาคม ก็มารับเก้าอี้แทนพ่อ นายชาดา ไทยเศรษฐ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ก็เป็นลูกชายนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สส.เพื่อไทย  ..ซึ่งก็น่าดูชมว่า ใครที่สายเลือดเป็นรัฐมนตรี ตัวเองเป็น สส.เวลาตั้งกระทู้จะเขินกันหรือเปล่า

แล้วก็ยังมีพวกบ้านใหญ่ อย่างนายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็เป็นน้องชาย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ก็เป็นน้องชายนายเนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคภูมิใจไทย .. แต่ถ้านับๆ ไปนับๆ มา สส.ก็หน้าเดิมๆ เป็นพวกลูกหลานบ้านใหญ่ก็เยอะ ก็ไม่ทราบว่า ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายกันหรือเปล่าว่า “บ้านใหญ่คุม” อันนี้จะไปว่าเป็นข้อเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะบางที บ้านใหญ่อาจทำพื้นที่แบบ “ใจถึง พึ่งได้” มานาน ทำให้กลายเป็นผู้มีบารมี คนรู้จักมาก คนในครอบครัวเคยทำดีมา ส่งลูกหลานลงคนพื้นที่ก็ไปเลือก ( แถมยังมีระบบหัวคะแนนในการเลือกตั้งอะไรต่างๆ ในบ้านเราอีกด้วย )

แต่ถ้าเอากระแสแบบ “ในอินเทอร์เนต” เขาก็ไม่ค่อยจะชอบๆกันที่พวกบ้านใหญ่เข้ามาผูกขาดพื้นที่ อย่างสุพรรณบุรี อ่างทอง หรือบุรีรัมย์นี่ เจาะยากแบบเบอร์ต้นๆ ของประเทศ …สายเสรีนิยมเขาว่า เก้าอี้รัฐมนตรี สส.ไม่ใช่สมบัติผลัดกันชมของครอบครัวไหนครอบครัวหนึ่ง มันต้องเป็นสิ่งที่ผลัดให้คนหน้าใหม่เข้ามาบ้าง..อันนี้ก็ตอบยากมันขึ้นอยู่กับว่าใครชนะเลือกตั้ง ซึ่งก็เคยมีกรณีล้มบ้านใหญ่มาแล้ว อย่างระยองก็ล้มบ้านใหญ่ปิตุเตชะได้ หรือชลบุรี ก็ล้มบ้านใหญ่คุณปลื้มได้หลายเขต .. แต่คนที่ปลื้มพรรคประชาชน ( ปชน.) มาก เขาก็บอกว่า “นักการเมืองควรมีความพอให้คนอื่นมาทำงานบ้าง” แล้วยกตัวอย่างเช่น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล , นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ , พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ที่เป็น สส.แค่สมัยเดียวจากนั้นเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมา ทั้งที่ 3 คนนี้นับว่าเป็น “ตัวจี๊ดสภา” เลยก็ได้

มีคนถามว่า “ฉากทัศน์ต่อไปหลังการตั้ง ครม.เป็นอย่างไร ?” ก็ต้องบอกว่า “คงมีนักร้องทำงานหนัก เพราะเหมือนกับว่านายกอิ๊งค์เปิดจุดอ่อนให้ปล่อยหมัดฮุคได้ ว่า “กลัวเรื่องปัญหาจริยธรรม” และพ่อนายกฯ อิ๊งค์เองก็กลัวลูกสาวโดนสอยด้วยเรื่องนี้ เพราะชั่วดีถี่ห่างถ้าประคองตัวไปจนจบรัฐบาลได้มีโอกาสเป็นนายกฯ สองสมัย แต่ถ้าถูกคดี “บกพร่องทางจริยธรรมเพราะแต่งตั้งคนที่ขาดคุณสมบัติ” นี่คือนายกฯ ก็ขาดคุณสมบัติไปโดยปริยาย เพราะถือว่า “เป็นคนบกพร่องทางจริยธรรมเหมือนกัน” ( เว้นแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับส่วนจริยธรรม ที่ไม่ต้องให้โทษถึงตัดสิทธิ์”

จะเกิดกรณี“สอย”กันใหญ่ แบบคนทำงานไม่ได้ขยับตัว อย่างแค่นายกฯ ไปกินข้าว ก็ยังจะร้องขัดจริยธรรมรับทรัพย์เกิน 3,000 บาทหรือไม่ ซึ่งดูไปดูมามันเป็นการหาเรื่องทางการเมืองมากกว่าความเคร่งครัดจริยธรรมแล้ว แต่ถ้าจะตรวจสอบจริยธรรม มีบางคนแถวๆ นี้บอก “ต้องทำให้ทั่วถึง” เช่น ศาลปกครองสั่งให้ ป.ป.ช.เปิดคำวินิจฉัยคดีนาฬิกาเพื่อนแล้ว ถ้าไม่เปิด ป.ป.ช.ก็ต้องติดตะราง หรือใครที่ไปใช้บ้านหลวงเกี่ยวกับป่าไม้เคลื่อนไหวทางการเมืองก็ยื่นสอบจริยธรรมหน่อยว่า ใครที่หลวงเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองเหมาะหรือไม่ แล้วใช้ทรัพยากรหลวงไปเท่าไร ..หรือ สส.บางคนก็น่าจะให้ใครยื่นสอบการทำหน้าที่ว่า เคยมาสภากี่ครั้ง ? ถ้าขาดเกินก็ปลดออก อ้างป่วยก็ขอให้ลาออกไปรักษาตัว เงินมีเยอะแล้วอย่าเป็นภาระหลวงอีก

แต่ไม่สนับสนุนให้รัฐบาลจัดใครเป็นตัวจี๊ดคอยไล่ร้องเรียน เพราะเลอะเทอะ…แล้วทีนี้ นักร้องมุ่งเป้าเล่นอะไร ? เรื่องแรกที่จะเล่นคือ นายกอิ๊งค์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ถือหุ้นขัดต่อคุณสมบัติความเป็นนายกฯ หรือไม่ เรื่องนี้นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.ออกมาตีปากนักร้องแล้วว่า “โอนหุ้นหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ได้ 15 วัน” คราวนี้นักร้องคนอกหักก็จะร้องเรียนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และพ่อนายกฯ

ซึ่งเรื่องที่จะร้องก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลในบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านนายทักษิณ หลังจากนายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่ง มีการเรียกตัวแกนนำรัฐบาลด่วนคืนนั้นเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ..มีข่าวลือเล่าอ้างว่า “หนึ่งในคนอกหักจากการตั้งรัฐมนตรี” ขู่ว่า มีหลักฐานเป็นคลิปว่า อดีตนายกฯ ครอบงำการตั้ง ครม.และนายทักษิณก็ไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่จะให้คำแนะนำได้ เพราะตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองถือว่า ขาดคุณสมบัติจากการที่เคยต้องโทษถึงที่สุดจำคุก

ต่อมา คนอกหักอีกรายก็จะแฉเรื่องทักษิณอยู่เบื้องหลังตั้งรัฐบาลอีก ..คราวนี้ใช้เรื่องชั้น 14 ขึ้นมาขู่ ..บอกว่า จริงๆ ที่ขึ้นไปอยู่ชั้น 14 ยาว 180 วันนั้น ไม่ควรมีสิทธิ์เพราะไม่ใช่คนป่วยหนัก แม้ว่าคนจากพรรคเพื่อไทยจะช่วยแถลงอาการป่วย ปอดเป็นฝ้า เอ็นแขนเปื่อยยุ่ย..สมมุติสถานการณ์ใกล้ตายอย่างไรก็ตาม แต่เห็นออกจากโรงพยาบาลได้ไม่กี่วันก็เดินปร๋อ บอกใจบันดาลแรง .. ซึ่ง..ก็แล้วแต่จะคิดล่ะกัน แต่ก็มีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบแล้ว ว่า มีกระบวนการเอื้อให้เกิดนักโทษเทวดาหรือไม่ ทาง ป.ป.ช.ก็รับลูก บอกอาจต้องสอบยาวเป็นร้อยคน และอะไรที่เป็นข้อมูลทางการแพทย์ของ “ผู้ป่วย” ถือว่า เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ขอไม่ได้

ซึ่งฟังดูก็น่าชวนหัวดี ..ก็เหมือนคดี “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” ที่ดันไปชนตำรวจตายตั้งแต่สมัยรัฐบาลปูนั่นแหละ สรุปคนชนไม่โดนอะไร ไปอยู่เมืองนอกชิลล์ๆ แต่ทางเมืองไทยสอบกันยาวไม่รู้จักจบสิ้นว่าใครควรต้องรับผิดในคดีนี้ ..เอาจริงสามัญสำนึกก็คือคนชนนั่นแหละ แต่พอดีน่าจะรวยดูน่าไว้ใจนัก เลื่อนขึ้นศาลเพราะป่วยได้บ่อยๆ สักพักเลยไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ…ไปๆ มาๆ เรื่องกำลังจะเงียบ แต่ปัญหาคือ มันดังมาอีกรอบตอนนายเนตร นาคสุข อัยการสั่งไม่ฟ้อง คราวนี้รื้อมาสอบกันใหญ่คดีจะหมดอายุความอยู่แล้ว ผู้เกี่ยวข้องโดนลากมาเต็มไปหมด จนถึงวันนี้เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

ถ้าจะร้องเรียนนายทักษิณเรื่องชั้น 14 มันกระทบข้าราชการตำรวจหลายคน หมอหลายคน เผลอๆ ก็แบบนี้แหละ สอบยื้อไปเรื่อย เวลาใครถามองค์กรที่สอบ ก็จะได้คาถาตอแหลๆ มาคำหนึ่ง “ไม่ได้นิ่งนอนใจ” นั่นคืออารมณ์ประมาณ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” แบบเกรียนคีย์บอร์ดชอบใช้กัน …กระบวนการสอบจะเป็นคุณเป็นโทษกับใคร คาดว่า ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่ในอำนาจให้คุณให้โทษทางสังคมด้วย ..แบบว่า “กระแสก็มีผลต่อการวินิจฉัย” และในส่วนของคดีเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “ความเป็นพวกมีอภิสิทธิ์ชนในสังคม ( elite   ) ก็ทำให้ประวิงเวลาคดีได้”

หรือถ้าจะเอาข้อกล่าวหาของคนไม่ชอบรัฐบาล สมัยรัฐบาลทักษิณ ก็คือ “องค์กรอิสระนั้นเขาไม่ซื้อกันทั้งคณะ” กล่าวคือ พวกคดีนักการเมืองอะไรจะต้องผ่านองค์กรอิสระก่อน แล้วทีนี้ องค์กรอิสระเขาจะพึ่งเสียงข้างมากในการวินิจฉัย อาจมีกระบวนการวิ่งเต้นอะไรสำหรับคนที่เป็นองค์กรอิสระที่ “หัวอ่อน”หน่อย  เวลาลงมติเอาแค่เสียงข้างมากชนะ ..แต่เรื่องนี้ก็ร่ำลือกันมาตั้งแต่สมัยนายทักษิณโดนคดีซุกหุ้น ( ที่มีวาทกรรม “บกพร่องโดยสุจริต” ) ซึ่งก็พูดๆ กันต่อๆ มา ..จนกระทั่งนักการเมืองเหมือน “รู้แกว” กันว่า “คุยกับองค์กรอิสระได้ก็จบ” ทำให้ถูกมองว่า “อาจมีความพยายามแทรกแซงการตั้งองค์กรอิสระ” โดยเฉพาะในกระบวนการสรรหา

เขามองกันอย่างนี้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งก็มีเหตุที่การเลือกองค์กรอิสระบางคน ถูกตีตกเรื่องคุณสมบัติไปแล้วเลือกใหม่ คนที่เลือกคือคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ และให้ สว.รับรอง ทีนี้ถ้าเราดูความเชื่อมโยงคือ “ถ้า สว.ถูกนักการเมืองคุมได้ ก็ทำให้ได้องค์กรอิสระที่ทำงานเป็นคุณกับฝ่ายการเมือง” ก็น่าสนใจที่ปีนี้ก็จะมี ป.ป.ช.เกษียณ 3 คน รวมถึง “บิ๊กกุ้ย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.”ที่มีความใกล้ชิดกับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) ก็จะเกษียณด้วย , และก็จะมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกษียณ ..แล้วข่าวว่า สว.สายใครล่ะ ? ก็ดูคดีที่เกี่ยวข้องกับ “ต้นสาย” แล้วกันเนาะ ว่าจะวินิจฉัยอย่างไร

สรุปเรื่องฉากทัศน์ทางการเมือง เท่าที่ประเมินดู คดีนายทักษิณไม่ว่าคดีอะไร ก็น่าจะดองประวิงเวลาไปเรื่อย เรียกสอบพยานสักร้อยกว่าปาก ส่วนคดีอะไรที่เกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามไม่นานเกินรัฐบาลนี้คงเชือด ตอนนี้เขาก็ลุ้นกันอยู่เรื่อง สส.ก้าวไกล 44 คนยื่นร่างแก้ไข ป.อาญา ม.112 ขัดต่อจริยธรรมหรือไม่ เผลอๆ จะโดนสอยกราวรูดตอนใกล้ ๆ เลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชนเป็นพรรคที่ขยับอะไรก็น่าสงสาร เกร็งไปหมดเดี๋ยวโดนยุบ

ส่วนนายกฯ อิ๊งค์ ก็รอดูว่านักร้องจะเล่นเรื่องดิจิทัลวอลเลตประเด็นไหนบ้าง ให้มันได้ใช้ก่อนจึงจะเห็น ถามว่ากระบวนการแก้ปัญหาเรื่องความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง มีซูเปอร์องค์กรมากำกับ ต้องทำอย่างไร ตอบแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนนักร้องนั้น ตอบ แก้ ป.อาญา ถ้าเรื่องไม่มีมูลให้ติดตะรางบ้าง หรือผู้ถูกร้องก็ฟ้องกลับ .

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่