“ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่ยอมรับว่ามาแรก ๆ ก็ลำบากมาก เพราะต้องปรับตัวเยอะ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร เพราะเราเป็นคนกินยาก จนน้ำหนักลดฮวบไปหลายกิโลฯ ตอนที่มาใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี กว่าจะปรับตัวได้” เสียงจาก “เอ็ม-สุกัญญา สุตะวงค์” บอกเล่าให้ฟังถึงการเป็น “สะใภ้เกาหลี” โดยชีวิตของหญิงไทยคนนี้มีเส้นทางน่าสนใจ ซึ่งรวมถึงการที่เธอโด่งดังในฐานะ “แม่ค้าผัดไทย” ในหมู่คนเกาหลีใต้ด้วย และวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปสนทนากับเธอคนนี้…

“เอ็ม-สุกัญญา” คนนี้ เธออายุ 36 ปี เคยเป็นอดีตผู้จัดการร้านหมูกระทะ แต่ปัจจุบันหารายได้พิเศษเพื่อส่งเงินให้ทางบ้านด้วยการเป็น “แม่ค้าผัดไทยในตลาดเกาหลี” โดยเธอเล่าว่า แต่งงานกับคนเกาหลีคือ “ลี ยอนซู” มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงชื่อ “น้องลีฮันนา” วัย 6 ขวบ คนเล็กเป็นผู้ชายชื่อ “น้องลีโยฮัน” อายุ 5 ขวบ ซึ่งเธอใช้ชีวิตที่เกาหลีใต้มา 5 ปีแล้ว ส่วนพื้นเพเธอเป็นคน จ.เชียงราย หลังจบ ปวช. แล้วก็เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เรียนไม่จบ เพราะมีช่วงที่เกเร ประกอบกับที่บ้านมีอาชีพค้าขาย ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นก็มีความคิดแบบเด็ก ๆ โดยมองว่าค้าขายก็ทำเงินได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง

“ตอนเด็กต้องไปขายของกับที่บ้านตลอด ปิดเทอมก็ไม่ได้ไปเที่ยวไปเล่นกับใคร เพราะต้องไปขายของ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ทุกวันอาทิตย์คุณแม่จะพาไปซื้อของและได้กินอาหารในห้าง แต่ก็จะไม่ได้ดูการ์ตูนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งถ้าใครมาถามว่าการ์ตูนตัวนี้ชื่ออะไร เราจะไม่รู้เลย และพอหนึ่งทุ่มก็ต้องเข้านอนแล้ว ทีนี้พอเริ่มโตเป็นสาวก็เลยไม่อยากเรียน อยากเข้ากรุงเทพฯ เพราะมีน้าอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อเราไม่ยอมเรียนต่อ ที่บ้านก็เลยไล่ให้ไปทำงาน”

ร้านผัดไทยของเอ็มที่ตลาดเกาหลี

แม้ที่บ้านจะไม่พอใจที่เธอไม่อยากเรียนต่อ แต่ก็คอยซัพพอร์ทอยู่ตลอด โดยช่วงอายุ 20 ต้น ๆ เธอก็ยืมเงินทางบ้านร่วมหุ้นลงทุนกับเพื่อนเปิดร้านหมูจุ่มที่ จ.เชียงใหม่ แต่ตัวเธออยู่กรุงเทพฯ ให้เพื่อนเป็นคนดูแลร้าน ที่สุดก็เจ๊ง เพราะเพื่อนปิดร้านหอบเงินทุนหนีไปเลย ทำให้เธอเป็นหนี้พ่อแม่ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่เฉย ชอบขายของ ชอบทำกับข้าว เธอจึงทำขนมจีนน้ำเงี้ยวไปขายที่ตึก SCB สำนักงานใหญ่ พอแม่รู้ก็อยากมาขายด้วย ซึ่งแม่ทำกับข้าวอร่อย ก็เลยตัดสินใจลงทุนเปิดร้าน ปรากฏว่าขายดีมาก แต่ด้วยความที่เธอยังเป็นวัยรุ่น ก็รู้สึกไม่ชอบ เพราะทั้งเหนื่อยและร้อน ไม่อยากทำต่อ จึงหยุดขาย เจ้าหน้าที่ตลาดก็โทรฯ ตาม เพราะลูกค้าถามหา แต่เธอไม่ไปขายแล้ว สักพักแม่ก็ถามว่าแล้วจะทำอะไรต่อ โดยเอ็มเล่าต่อไปว่า น้าของเธอมีธุรกิจร้านนวด 2 สาขา ที่ดอนเมือง กับตลาดไท น้าก็ชวนเธอให้ไปทำด้วยกัน จะให้เธอไปอยู่ที่สาขาตลาดไท แต่เธอไม่ไป ซึ่งแม่และน้าอยากให้เธอโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ อยากฝึกให้เธอทำธุรกิจ จึงลงทุนเปิดร้านนวดที่หลักสี่สแควร์ให้เธอบริหาร ซึ่งช่วงนี้เองที่เธอเริ่มหยุดทำตัวเป็นเด็ก ๆ เริ่มเป็นผู้เป็นคน แต่ก็แทบไม่มีเพื่อน เพราะต้องคอยดูแลร้านนวดที่แม่และน้าเปิดให้

ส่วน “จุดเริ่มต้นการเป็นสะใภ้เกาหลี” นั้น เธอเล่าว่า เกิดจากตอนไปเที่ยวที่ย่านทองหล่อกับเพื่อน ๆ จนได้เจอกับสามีชาวเกาหลี โดยตอนนั้นสามีของเธอมาทำงานที่ไทย ซึ่งตอนที่ไปเที่ยววันนั้นสามีน่าจะเล็งเธออยู่นาน (หัวเราะ) จนตอนที่เธอกำลังจะกลับและเดินไปเรียกแท็กซี่ สามีก็เดินตรงมาขอเบอร์เธอ โดยเขาบอกว่าทำงานอยู่กรุงเทพฯ เธอก็คิดว่าคุยไว้ก็ไม่เสียหาย ก็เลยให้เบอร์ไป ซึ่งตอนนั้นเธอเองก็มีคนคุยด้วยเยอะ จึงไม่ค่อยสนใจสามีเท่าไหร่ แต่ที่ตลกมากก็คือ หลังคุยกันไปได้ 3 เดือน สามีก็อยากเจอพ่อแม่เธอ พอเดือนที่ 4 เธอก็ได้ไปเจอพ่อแม่เขาที่เกาหลี จากนั้นก็คบกันไปได้สักครึ่งปี ก็ไปกันไม่ได้ เพราะเธอศาสนาพุทธ ส่วนสามีเป็นคริสเตียนที่เคร่งมาก อีกทั้งแม่สามีก็เป็นเจ้าของโบสถ์ ซึ่งด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้อึดอัด เธอจึงตัดขาดกับเขา แต่เลิกกันไปได้ราว ๆ ครึ่งปี ก็ไปเจอกันอีกโดยบังเอิญ ฝ่ายเขาก็มาขอเบอร์อีก แล้วก็นัดไปทานข้าว ไปเที่ยวกัน และคุยกันมาเรื่อย ๆ จนคิดว่าคงจะมีวาสนาต่อกัน ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับเขาในที่สุด …เอ็มเล่าพร้อมรอยยิ้ม

และเล่าย้อนด้วยว่า จริง ๆ ทางฝั่งแม่สามีไม่อยากได้สะใภ้ต่างชาติ ส่วนแม่ของเธอก็ติดภาพว่าผู้ชายเกาหลีชอบตบตีเมีย ทำให้ครอบครัวต่างฝ่ายต่างไม่โอเค เธอกับสามีก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ตัดสินใจแต่งงานกันเลย หลังจากนั้นก็มีลูก คลอดลูกที่ไทย ตอนนั้นสามีเธอทำงานฟรีแลนซ์ดูเว็บไซต์ให้บริษัทเกาหลีซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง จนเมื่อลูกคนโตอายุได้ 4 เดือนก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่เกาหลี โดยเอ็มบอกว่ายอมทิ้งทุกอย่างที่ไทย เพื่ออนาคตของลูก เพื่อการศึกษา และอะไรหลาย ๆ อย่าง

ภาพหมู่ครอบครัว

“เราต้องอยู่กับแม่ย่า (แม่สามี) ก่อน จึงเหมือนกับเราเริ่มใหม่หมด เพราะจะแยกไปอยู่เองยังไม่ได้ เพราะยังไม่มีเงินพอ ซึ่งที่นี่ค่าเช่าแพง แน่นอนว่าต้องมีปัญหาเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว สำหรับกิจวัตรของเรา คือต้องตื่นเช้าทุกวันอาทิตย์เพื่อมาเข้าโบสถ์ เพราะโบสถ์อยู่ที่บ้าน ซึ่งแม่ย่าก็เหมือนสอนเรา แต่หน้าท่านตึง ๆ เราก็คิดว่าด่า แฟนก็ปลอบ และบอกให้ศาสนาพุทธอยู่ในใจ กลับไทยเธอก็ไปวัดไหว้พระ แต่อยู่ที่นี่ขอให้ตามแม่ฉัน”

เอ็มเล่าต่อไปว่า การปรับตัวระหว่างอยู่ที่เกาหลี ก็ไม่มีอะไรมาก เว้นแต่ปัญหาที่ต้องกระทบกระทั่งกับแม่สามี ซึ่งอาจเพราะบุคลิกของเธอก็ดูจะเป็นคนแข็ง ๆ แต่ดีหน่อยตรงที่สามีเข้าใจ และก็รู้ว่าคุณแม่ของเขาเป็นคนยังไง จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางสามีก็ตัดสินใจแยกมาอยู่ที่เมืองพย็องแท็ก โดยซื้อวิลล่า 3 ชั้น ซึ่งช่วงนั้นเธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่ 2 ด้วย

“เป็นเรื่องแปลกใจมาก คือพอเราย้ายออกมา กลับกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ของเรากับแม่ย่าดีขึ้น รักกันมากขึ้น และเจอกันทุกเดือน อย่างเวลาพ่อแม่เรามา ท่านก็จะให้เงินก้อนใหญ่ หรือเวลาเรากลับไทย แม่ย่าก็จะให้เงินก้อนเราไปไว้ซื้อของ แต่ข้อเสียคือ ชอบว่า ชอบบ่นตามประสาคนแก่ และอาจเพราะท่านมีอีโก้สูง เป็นเจ้าของโบสถ์ จึงมั่นใจตัวเองมาก และไม่ค่อยจะฟังใคร ประกอบกับเราสื่อสารไม่เก่ง ภาษาเกาหลีก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องด้วย”

กับแม่ แม่ย่า (แม่สามี) และลูก ๆ

เธอเล่าอีกว่า วิลล่าที่ซื้ออยู่ใกล้กับค่ายทหารอเมริกัน ซึ่งใหญ่มาก ครอบครัวเธอพักอาศัยอยู่ชั้นล่าง ส่วนชั้น 2 ชั้น 3 ปล่อยให้คนเช่า และที่เมืองนี้บังเอิญมีเพื่อนมาเปิดร้านหมูกระทะ จึงชวนเธอให้เป็นผู้จัดการดูแลร้าน ซึ่งเธอตกลงทันที เพราะพอเริ่มมีบ้านก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ โดยตอนนั้นทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เพราะชอบทำงานมาก ซึ่งขณะที่ร้านกำลังไปได้สวย ก็มีเหตุให้ต้องปิดตัวลงจากโควิด-19 แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง เธอเห็นว่ามีตลาดใกล้บ้าน ก็เลยลองสำรวจ และได้เห็นคลิปต่างแดนที่คนมาขายของกัน ก็นึกในใจว่าทำไมเธอถึงไม่ทำบ้าง แม้ภาษาเกาหลีไม่ค่อยเก่งก็คงไม่เป็นไร สามีก็แย้งว่าจะขายของทำไม ดูบ้านดูลูกก็พอแล้ว แต่เธอวางแผนขายของอยู่ในใจไว้ก่อนแล้ว โดยตอนทำงานร้านหมูกระทะก็มีเงินเก็บอยู่ จึงโทรฯ หาแม่ที่ไทยขอให้หยุดขายของแล้วมาอยู่เกาหลีช่วยเลี้ยงหลาน โดยเธอจะส่งเงินให้ทางบ้านที่ไทยเอง แม่ก็ยอมมา เธอจึงเดินหน้าความฝัน

“เริ่มจากหลอกแฟนไปเดินเที่ยวตลาด และให้ช่วยไปถามราคาเช่าว่าวันละเท่าไหร่ แล้วเรามาขายได้ไหม แฟนก็ไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ถามให้ โอเคตกลงค่าเช่าวันละ 10,000 วอน เป็นเงินไทยก็ 200 กว่าบาท เราก็คิดวางแผนขายของหลายอย่าง ก็บอกแฟนว่าขายเสร็จฉันจะรีบกลับนะ ไม่เกินบ่าย 3 หรอก เพราะรถโรงเรียนจะมาส่งลูกตอน 4 โมงเย็น พอบอกแม่ว่าจะขายผัดไทย แม่บอกไม่มีใครซื้อหรอก เหมือนดูถูกเราเลย ก็เข้าใจนะว่าเขาเป็นห่วง ส่วนแฟนก็บอกว่าถ้าไปขายแล้วไม่มีใครซื้ออย่าร้องไห้กลับมานะ ขอเล่าย้อนนิดนึง ก่อนหน้านี้เราขึ้นทะเบียนว่าเป็นคนตกงาน เพื่อจะได้รับสวัสดิการ เพราะช่วงทำงานร้านหมูกระทะต้องจ่ายภาษี 3% ของรายได้ ที่นี้พอตกงานจะได้เงินพิเศษ แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าจะได้เงินที่ว่านี้คุณต้องไปสมัครงาน ไปทำงาน เราก็ไปสมัคร ไปทำงานนะ แต่ด้วยความที่ภาษาไม่ได้ เจ้านายก็มักชอบใช้คำหยาบด่าเสียงดัง ด้วยความที่เราไม่เคยเป็นลูกน้องใคร ก็ร้องไห้กลับบ้านเลย”

เอ็มเล่าต่อไปว่า ตอนที่จะขายผัดไทยที่ตลาดเกาหลี ทั้งแม่และสามีไม่เห็นด้วย แต่เธอถอยไม่ได้ และอยากลองดู ก็เลยเริ่มขายผัดไทยเมื่อปลายปี 2566 ส่วนทำไมถึงเป็นผัดไทย เพราะเธอมองว่าตัวเองทำผัดไทยอร่อย และคนต่างชาติก็รู้จักเมนูนี้ของไทย ตลาดก็อยู่ตรงข้ามฐานทัพอเมริกันด้วย ซึ่งก็มีเรื่องที่ตลกมากคือ พอแม่ย่ารู้ว่าจะขายผัดไทยที่ตลาดนัด ก็หอบโต๊ะหอบเก้าอี้จากบ้านนอกมาให้ และยังไปส่งวันไปขายวันแรกอีกด้วย (หัวเราะ) ในขณะที่แม่ของเธอเองกับสามีไม่สนับสนุน

“วันแรกที่ขายผัดไทย 2 ชั่วโมง ต้องเรียกว่าผัดจนตะหลิวปลิวเลย หมดเกลี้ยงไม่เหลือเลย จนแม่ตกใจ กับแม่ค้าที่ตลาดที่ตอนแรกเห็นเราก็บอกว่า เป็นเด็กวัยรุ่นแบบนี้ ส่วนมากขายไม่รอดหรอก ขายแป๊บเดียวก็เลิก คือเขาดูถูกเรา แต่เราก็ไม่ตอบโต้ ปรากฏเราขายดี จนตอนนี้หยุดขายไม่ได้เลย ใจจริง ๆ อยากเปิดขายถึงเย็น แต่ติดที่ต้องไปรับลูก ก็เลยคิดว่างั้นทำเมนูเพิ่ม ก็เลยมีชาไทยเพิ่มอีกหนึ่งเมนู” เอ็มกล่าว และเธอยังบอกว่า คิดจะขยายเป็นร้านถาวร แต่สามีไม่ยอม ขณะที่แม่สามีกลับเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ก็ต้องพักโครงการไว้ก่อน รอให้ลงตัวกว่านี้อีกนิดเรื่องเวลาและสามี

แม่ค้าผัดไทยคนดังประจำตลาดเกาหลี “เอ็ม-สุกัญญา” ทิ้งท้ายการสนทนากับ “ทีมวิถีชีวิต” โดยเธอได้เล่าให้เราฟังว่า เวลาขายของ คนมามองเธอ เธอก็จะเขิน ๆ เพราะเขามองว่าเธอเป็นมาดามนะ แต่เธอก็ไม่สน เพราะมองว่าเธอเองก็เกิดมาจากตลาดนัดแล้วจะแคร์ทำไม หรือบางครั้งก็โดนคนถามว่า สามีไม่เลี้ยงหรือถึงมาทำงานขายของ… “พอเราได้ยินคำถามนี้ เราก็อึ้งนะ ในใจคิดว่าแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ สามีเลี้ยงก็ส่วนเลี้ยง อันนี้เราอยากทำ แล้วยังซัพพอร์ทพ่อแม่ได้ด้วย ขอบอกว่าตั้งแต่อยู่เกาหลีมา ชีวิตตอนนี้มีความสุขลงตัวดีที่สุดแล้ว ส่วนที่อยากทำในอนาคตคือเปิดร้านอาหารไทยที่หน้าค่ายทหาร ซึ่งก็รบเร้าสามีเรื่องนี้ตลอด แต่คำตอบที่สามีบอกกลับมาคือ อยากทำใช่ไหม ก็ได้ แต่รอลูกโตก่อน…กับรอให้สามีเกษียณก่อน”.

‘โอปป้า’ ใน ‘ซีรีส์ vs ชีวิตจริง’

“เอ็ม-สุกัญญา” บอกเล่าไว้ด้วยว่า ผู้ชายเกาหลีในชีรีส์กับในชีวิตจริงส่วนใหญ่ก็จะมีความคล้ายกันพอสมควร เช่น สามีจะเป็นคนรักครอบครัว ไม่ค่อยมีสังสรรค์เพื่อนฝูง กลับบ้านตรงเวลา และหวงภรรยากับลูกมาก รวมถึงไม่พูดคำหยาบ ไม่เสียงดัง และโรแมนติกบ้างบางครั้ง แต่มีข้อเสียตรงที่ชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ชอบเป็นผู้นำ ให้ภรรยาเป็นผู้ตาม ดังนั้นสาวไทยที่คิดจะแต่งงานมาอยู่เกาหลี ควรต้องศึกษาวัฒนธรรมให้มาก รวมถึงเรื่องอาหารด้วย อย่างแม่ย่าแม่สามีของเธอก็จะย้ำว่า สามี (ลี ยอนซู) กลับจากทำงาน บ้านต้องสะอาด กับข้าวต้องเป๊ะ โต๊ะอาหารต้องมีเครื่องเคียง 10 อย่าง ไม่รวมจานหลักกับน้ำซุป
“ อย่างสามีเรา สมัยยังไม่แต่งงานกันก็ร้ายไม่เบา แต่พอแต่งแล้วก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ น่ารักมาก เป็นห่วงเป็นใยดูแลดีมาก เช่น หากเราเศร้าคิดถึงบ้าน ก็จะมากอด มาจับมือ ลูบหัวเรา อากาศหนาวก็จะเอาเสื้อมาคลุมให้ เรียกว่าคอยเป็นห่วงทุกสิ่ง แต่ผู้ชายแต่ละคนอาจมีนิสัยที่ต่างกัน ก็แล้วแต่นะว่าจะเจอผู้ชายแบบไหน”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน