ในเมื่อเป็นข้อแนะนำที่มองเห็นถึงทางออกที่ชัดเจน ที่สำคัญ!! ยังเป็นข้อเสนอแนะของผู้เป็น “พ่อ” ที่มีประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญมานานหลายสิบปี
เอาจริงๆ ข้อเสนอแนะเหล่านี้… ในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนคนไทย ไม่ได้เห็นภาพที่ชัดเจนถึงทางออกว่ารัฐบาลจะเดินจะนำพาไปเช่นใด แม้การแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้หนีห่างจากข้อเสนอแนะเหล่านี้ก็ตาม
ดูอย่างเรื่องของการแจกเงินดิจิทัล วอลเลต ที่ติดปัญหาข้อกฎหมายสารพัด สุดท้ายทางออกก็คือการแจกเงินสดให้กลุ่มเปราะบางและผู้พิการไปก่อนรวม 14.5 ล้านคน โดยใช้เงินงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท รวมกับงบประมาณส่วนหนึ่ง เพื่อให้เดินหน้าแจกเงินได้ตามกฎหมายคือภายในเดือนก.ย.นี้
ส่วนคนที่ลงทะเบียนไปแล้วกว่า 30 ล้านคน ก็ไปใช้เงินงบประมาณปี 68 ที่ได้จัดสรรไว้แล้ววงเงิน 152,700 ล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 132,300 ล้านบาท
เงื่อนไขรอบที่ 2 นี้ ถ้าการจัดทำระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วเสร็จ ก็เป็นการแจกภายใต้ระบบดิจิทัล วอลเล็ต เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แม่นยำ
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร เมื่อใด ก็ต้องรอให้รัฐบาลของ”แพทองธาร” แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาภายในเดือนก.ย.นี้ ให้แล้วเสร็จ และแถลงให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ รับรู้รับทราบต่อไป
ส่วนปัญหาที่คนไทยทั้งประเทศยังก้าวข้ามไปไม่ได้คือเรื่องของการเป็นหนี้ โดยเฉพาะ “หนี้ครัวเรือน” ที่มีมากกว่า 90% ของจีดีพี ที่อดีตนายกฯ นำเสนอไว้ว่า ควรนำเงินที่บรรดาแบงก์ต้องจ่ายคืนให้กับกองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินในอัตรา 0.46% ของเงินฝาก ครึ่งหนึ่ง เพื่อนำไปช่วยเหลือลูกหนี้ ในส่วนนี้ก็จะมีเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท เข้าไปช่วยลูกหนี้ให้ไม่ต้องถูกยึดบ้าน ถูกยึดรถ
ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างหนี้แบบจริงจัง…แบบได้ผล!! ก็ต้องเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้คนไทยหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ให้ได้ แม้ว่าที่ผ่านมาได้ทำอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องไปเร่งเครื่อง ให้เดินหน้าให้เกิดผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ที่ชัดเจนที่สุด!! ตรงกับเป้าหมายของพรรคเพื่อไทยที่สำคัญ…ยังตรงกับนโยบายของ นายกฯแพทองธาร ที่ได้ประกาศไว้ทันทีหลังรับสนองพระบรมราชโองการฯ ด้วยการเดินหน้าต่อเรื่องของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
อดีตนายกฯ ยกกรณีเรื่องของ “มวยไทย” จะทำอย่างไรให้การแข่งขันมวยไทยมาทำเป็น “ลีก” เช่นเดียวกับฟีฟ่า ทำฟุตบอล การเดินหน้าเรื่องแฟชั่นโชว์ ที่เหมือนกับบราซิล ที่ทำเงินให้ประเทศด้วยฟุตบอล และนางแบบ โดยเฉพาะการปั้นนางแบบสัญชาติไทย โดยนำเอาพรสวรรค์เหล่านี้มาสร้างรายได้
หรือแม้แต่… การสนับสนุนให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศตั้งตัวได้ โดยมีเอสเอ็มอีแบงก์ที่สนับสนุนปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไทยที่ไปทำร้านอาหารในต่างแดน หากสนับสนุนเงินทุนได้จากลูกจ้างจะมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร
“เศรษฐกิจใต้ดิน” ที่นายทักษิณ ย้ำนักย้ำหนา ต้องเอาขึ้นมาบนดินให้หมด แล้วเก็บภาษี 30% ก็ได้เงินเข้าระบบไม่น้อย และใช้เงินก้อนนี้ต่อยอดสร้างผลิตภาพให้เด็กไทยเป็นคนที่มีคุณภาพ เพราะทุกวันนี้เงินใต้ดินมีมากถึง 50% ของเศรษฐกิจบนดิน หากทำให้ถูกต้อง ก็ได้เงินจำนวนมาก
อย่างกรณีของการตั้ง “กาสิโน” ที่จะมีเพียงแค่ 10% ของโครงการเอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ต้องมีขนาดลงทุน 1 แสนล้านบาท ที่จะตามมาด้วยรายได้ ตามมาด้วยการมีงานทำของคนไทย
หรือแม้แต่การลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการขยายเมืองให้เป็นเมืองสีเขียว การลงทุนรถไฟไทย-จีน การตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเดินหน้ารถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท โดยเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหาร
ยังมีเรื่องของการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก โดยใช้แบบอย่างของดูไบ และสิงคโปร์ มาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับไทย
เหนือสิ่งอื่นใดต้องปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรม ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เพื่อดึงดูดให้คนเก่ง ๆ เข้ามาร่วมกันพัฒนาประเทศไทย แม้อาจต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ต้องขอคืนได้โดยเร็ว ซึ่งนำไปสู่เรื่องของ
Negative Income Tax ที่ใครมีรายได้น้อยก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ใครมีรายได้สูงก็ต้องเสียภาษีอย่างเป็นธรรม
ข้อเสนอแนะของอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็น “พ่อ” ของนายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ “ครอบงำ” แต่ก็ “ครอบครอง” เพราะเป็นลูก ที่ปฎิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
เอาเป็นว่า…อะไรที่ดี อะไรที่เป็นประโยชน์ของประเทศ หากจะนำข้อเสนอแนะเหล่านั้นมาดำเนินการ แล้วจะเป็นอะไร? ดีเสียอีกที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากความยากจนอย่างจริงจัง
แต่!! ปัญหา… อยู่ที่ว่าจะทำทุกอย่างได้อย่างไรโดยปราศจากคำว่า “คอรัปชั่น” !!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”