ในปีค.ศ. 1947 เหตุการณ์วัตถุลึกลับบนท้องฟ้าหรือ “ยูเอฟโอ” ตกใส่ท้องทุ่งในเมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก กลายเป็นข่าวใหญ่แห่งยุคและยังคงได้รับความสนใจมาจนถึงปัจจุบัน ผู้คนที่ชื่นชอบเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอ แทบไม่มีใครไม่รู้จักเมืองรอสเวลล์ 

เจสซี มาร์เซล หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองสหรัฐ เป็นผู้สืบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับซากวัตถุลึกลับจากพื้นที่ที่พบเห็น “ยูเอฟโอ” ตกในเมืองรอสเวลล์ แต่ต่อมาแถลงว่าเป็นเพียงชิ้นส่วนของบอลลูนสำรวจสภาพอากาศ

ความยิ่งใหญ่ของข่าว “จานผี” ตกใส่เมืองแห่งนั้นแทบจะทำให้คนลืมไปว่ามีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันที่เกิดขึ้นในอีก 6 ปีให้หลังในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าคิงแมนของรัฐแอริโซนา

ชาวเมืองหลายคนยืนยันว่าในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 พวกเขาเห็นยูเอฟโอ “อย่างน้อย 1 ลำ” ตกจากท้องฟ้าตรงบริเวณทะเลทรายโมฮาเวที่อยู่นอกเมืองคิงแมน ซึ่งห่างจากเมืองลาสเวกัสเพียง 160 กม.

เพรสตัน เดนเนตต์ ผู้เขียนหนังสือ “UFOs Over Arizona: A True History of Extraterrestrial Encounters in the Grand Canyon State” ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวท้องถิ่นเมื่อไม่นานมานี้ว่า การที่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์และแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่ช่วยยืนยันเหตุการณ์เช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากมาก เขายังมีความเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เมืองคิงแมนเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เกี่ยวกับยูเอฟโอตกที่ได้รับการยืนยันข้อเท็จจริงได้ดีที่สุดเหตุการณ์หนึ่งของสหรัฐ

แฮร์รี ดรูว์ ชาวเมืองคิงแทนและนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเคยสร้างภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับปริศนายูเอฟโอตกนอกเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีพยานหลายคนบอกว่าพวกเขาเห็นยูเอฟโอประมาณ 8 ลำอยู่บนท้องฟ้าอยู่ในสภาพที่ดูคล้ายกับกำลังต่อสู้กัน และมี 3 ลำที่ตกลงสู่พื้นดิน

ช่วงที่ยูเอฟโอ 3 ลำที่ตกลงมานั้นตรงกับช่วงที่มีการทดลองด้านนิวเคลียร์ในเนวาดาที่ใช้ชื่อรหัสว่าปฏิบัติการอัพชอต-นอตโฮล (Upshot-Knothole) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานทั่วโลกว่า เหตุการณ์ยูเอฟโอตกมักเกิดขึ้นใกล้จุดที่มีกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นสูงสุด

ดรูว์อ้างว่า ในคืนที่เกิดเหตุ ยานบินลำหนึ่งลุกไหม้จนหมดเพราะชนเข้ากับภูเขา ยานอีกลำหนึ่งถูกพบว่าตกอยู่ในทะเลทรายโดยไม่มีความเสียหาย ส่วนลำที่ 3 ตกลงใกล้อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในบริเวณนั้น ซึ่งเป็นจุดที่ทีมเจ้าหน้าที่จากกองทัพและนักวิทยาศาสตร์ตั้งค่ายอยู่รอบ ๆ เพื่อเก็บกู้ซาก

เมืองคิงแมน รัฐแอริโซนา พื้นที่เกิดเหตุยูเอฟโอตกกลางทะเลทรายจนกลายเป็นตำนานพื้นบ้าน

เดนเนตต์อ้างคำยืนยันจากนายทหารที่เกี่ยวข้อง 40 นายที่อยู่ในพื้นที่ เขาเคยบรรยายถึงลักษณะของยูเอฟโอที่ตกลงมาในปี 2559 ว่า เป็นยานบินที่ทำจากโลหะ กว้าง 30 ฟุต สูง 3 ฟุตครึ่ง มีลักษณะเป็นรูปวงรีพร้อมช่องมอง ส่วนภายในนั้นมีร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่ “ตาย” แล้ว 2-4 ร่าง แต่ละร่างสูงราว 4 ฟุต มีดวงตาขนาดใหญ่และสวมชุดทำจากวัสดุที่เป็นโลหะ 

เดนเนตต์ใช้เวลาหลายปีตามรอยเหตุการณ์ยูเอฟโอตกในคิงแมนจากรายงานและเอกสารเก่า ๆ ของรัฐบาล เขาพบชื่อรหัสของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งว่า “ฟริตซ์ เวอร์เนอร์” ซึ่งเขาระบุว่าเป็นชื่อรหัสของ อาร์เธอร์ สแตนเซล วิศวกรของกองทัพอากาศสหรัฐผู้มีหน้าที่ค้นหาความเร็วในการตกจากท้องฟ้าของยูเอฟโอเหล่านี้ ด้วยการประเมินจากร่องรอยตกกระทบบนพื้นดินว่า ยานเหล่านี้น่าจะตกลงมาด้วยความเร็วราว 1,200 ไมล์/ชม. (ประมาณ  333 กม./ชม.)

โครงการนี้ถือว่าเป็นความลับสุดยอด แต่ 20 ปีให้หลัง สแตนเซลก็ลงนามไปคำให้การที่ยืนยันว่าเขาไปทำงานในพื้นที่ลับสุดยอดนั้นจริง เดนเนตต์อ้างว่ารัฐบาลสหรัฐยึดซากยานบินเหล่านี้ไว้เป็นความลับ เพื่อศึกษาวิจัย และจะมีการเปิดเผยข้อมูลในอีก 50 ปีให้หลัง

ต่อมา ในปี 2563 อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐคนหนึ่งได้เปิดเผยบทสนทนาของเขากับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงต่อสาธารณชน

เขาคนนี้คือคริสโตเฟอร์ เมลลอน เป็นอดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐ เขาอ้างว่าได้พูดคุยกับแหล่งข่าวนิรนามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลที่บอกว่า ประชาชนจะ “อ้าปากค้าง” หากได้รู้ว่ารัฐบาลรู้ข้อมูลอะไรบ้างจากเหตุการณ์ดังกล่าว

เขาอ้างว่า ทางการไม่เพียงรู้ว่าใครเป็นผู้เก็บกู้ซากยูเอฟโอทั้งหมด ใครเป็นคนสั่งการ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีหน่วยงานรัฐบาลที่คอย “ดูแล” ปริศนายูเอฟโอตกในคิงแมนอยู่ ขณะที่ยังไม่มีหน่วยงานรัฐบาลไหนออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่ายูเอฟโอตกในคิงแมนคือเรื่องจริง

ส่วนประชาชนก็ต้องรอคอยต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นทางการ

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES