ชื่อ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ที่ นายชัยธวัช ตุลาธน ยื่นเป็น 1 ใน 10 พยานบุคคลต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น สร้างความฮือฮามาก มาได้ไง ชื่อชั้น ดร.สุรพล ถ้าเป็นหุ้นกู้ก็ระดับ 3 เอบวก เป็นศาสตราจารย์กฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง เป็นที่ปรึกษากฎหมาย กกต. ซึ่งเป็นโจทก์ใหญ่ (อันนี้แหละสุด) ยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่ 8, เป็นที่ปรึกษาพิเศษศาลปกครองอีก เป็นอดีตอธิการบดี และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นต้น เรียกว่า โปรไฟล์ด้านกฎหมายสุดหรูหรา

ถึงกระนั้น การเอา ดร.สุรพลมาเป็นพยานบุคคล ด้อมส้มหลายคนกลับบอก “อย่าเพิ่งไว้ใจ” เนื่องเพราะเจ้าตัวเคยเป่านกหวีดร่วมกับ กปปส. เชียร์ คสช.ยึดอำนาจ เป็น สนช.ให้ระบอบ 3 ป. ออกโรงปกป้องรัฐธรรมนูญ 2560 สุดชีวิต มองนักการเมืองเป็นพวกทุจริตคอร์รัปชัน ไร้อุดมการณ์ เป็นขาประจำวิจารณ์ ทักษิณ ชินวัตร ขอนายกฯ ม.7…ฯลฯ

การถูกมองว่า เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยกว่าทศวรรษที่ผ่านมา จึงไม่แปลก แต่อีกด้านก็อาจไม่แปลกเช่นกัน นักวิชาการมากมายก็เป็นแบบนี้ อยู่เป็นแล้วได้ดี ได้ทั้งเก้าอี้การเมืองและตำแหน่งวิชาการไปโลด

แต่ใครจะมองยังไงก็แล้วแต่ สมควรต้องคารวะ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ เมื่อสิ่งที่เคยเห็นดีเห็นงาม ไม่เป็นจริง ก็กล้าหาญบอกต่อสาธารณะและเปลี่ยนแนวคิด โดยเฉพาะ 9 ปี คสช.ที่เห็นแล้วว่า มีการบังคับใช้กฎหมายกับฝ่ายตรงข้ามเป็นหลัก ทุจริตคอร์รัปชันชุกมากกว่านักการเมือง แล้วไม่ต้องติดคุก ออกแบบระบบเลือกตั้งผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อกำจัดพรรคตรงข้าม พอพลาดยังตั้งหน้าตั้งตาออกแบบหวังจัดการใหม่อีก…จึงตกผลึกทางความคิด…“ตาสว่าง”

คนไทยจึงควรได้อ่านคำให้การ 19 หน้าของ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อย่างยิ่ง หาดูได้ในเว็บไซต์พรรคก้าวไกล ถือเป็นประวัติศาสตร์ต่อสู้การยุบพรรคที่ต้องบันทึกไว้ โดย ดร.สุรพล มีความเห็นต่อคำร้องของ กกต.ใน 3 ประเด็น ที่เป็นไฮไลต์ “ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมาย ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กกต.ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่กระทำตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด ตาม ม.92 และ 93 พ.ร.ป.พรรคการเมือง”

ในเรื่อง ม.112 ดร.สุรพล เห็นว่า การเข้าชื่อของ สส.เพื่อเสนอ พ.ร.บ.แก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 ไม่เป็นการกระทำที่ใช้กำลังบังคับหรือเป็นการกระทำที่ใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์สิ้นสุดลง, คอป.ชุด ศ.ดร.คณิต ณ นคร ก็เคยเสนอแก้ไข ม.112 มาแล้ว, การหาเสียง แก้ไข ม.112 กกต.เคยวินิจฉัยว่า ไม่ขัดต่อ พ.ร.ป.การเลือกตั้ง และ กกต.ไม่เคยมีคำสั่งห้ามนำเสนอนโยบายนี้แต่อย่างใด

จึงน่าแปลกใจว่า เมื่อที่ปรึกษากฎหมายที่ตัวเองแต่งตั้งมาเสนอแนวทางชัดขนาดนี้ ทำไม กกต.ไม่ฟัง กลับดึงดันเสนอยุบพรรคก้าวไกลอย่างมุ่งมั่น หรือทำตามคำสั่งใคร หรือมีอะไรซ่อนเร้นที่สังคมมิอาจทราบได้

ในคำให้การยังทำให้เห็นว่า ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค เพราะเหตุใด

“…การยุบพรรคการเมือง ต้องไม่เพียงแค่เป็นความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่ต้องมีองค์ประกอบของการใช้ความรุนแรงนอกกรอบรัฐธรรมนูญ การเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธีย่อมไม่เพียงพอเป็นเหตุให้ยุบพรรค

การยุบพรรคการเมืองไม่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ การนำเสนอแนวคิดเพื่อแลกเปลี่ยนผ่านกลไกต่าง ๆ อย่างสันติภายใต้วิถีทางรัฐธรรมนูญ ไม่อาจเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตยแต่ประการใด การยุบพรรคต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ผลลัพธ์ของการยุบพรรคต้องเป็นการธำรงรักษาระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อทำลาย…คำพิพากษายุบพรรคต้องมีเหตุผลที่ทรงพลัง หนักแน่น ว่าทำไมพรรคการเมืองหนึ่งต้องถูกทำลายไป…

และลงท้าย…ข้าพเจ้าใคร่ขอกราบเรียนต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยความเคารพที่จะได้กรุณาใช้มโนธรรมและความรัก ความห่วงใยในประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยรวมในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ด้วยเช่นกัน”

ก้าวไกลเอา ดร.สุรพล เป็นพยานปากเอก จึงเป็นการต่อสู้ที่แหลมคม มีน้ำหนัก เห็นทางรอด แต่แม้ไม่รอดก็เป็นการ “ปักธง” ความคิดครั้งสำคัญว่า…การยุบพรรคไม่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ…อีกต่อไป.

…………………………………..
ดาวประกายพรึก

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…