ด้วยสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ทวีรุนแรงมากขึ้น การทำงานด้านความยั่งยืนได้กลายเป็นหัวข้อที่ภาคธุรกิจทุกอุตสาหกรรมให้ความสำคัญและช่วยกันเร่งพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยงานด้านการวิจัยและคิดค้นนวัตกรรมเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์การพัฒนาด้านความยั่งยืนในระยะยาว และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Sciences ก็นับเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่มีการนำมาปรับใช้ในกระบวนการวิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์ในทุกอุตสาหกรรม เพื่อลดการใช้หรือสังเคราะห์สารที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

L’Oréal Groupe’ (ลอรีอัล กรุ๊ป) บริษัทความงามชั้นนำของโลกจากฝรั่งเศส ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังอย่าง ลอรีอัล ปารีส, การ์นิเย่, ลังโคม, เซราวี, ลา โรช-โพเซย์ และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย ได้ให้ความสำคัญด้านการวิจัย และมีการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ อย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมและเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech โดยในด้านความยั่งยืน ลอรีอัล กรุ๊ป ได้นำศาสตร์ Green Sciences มาใช้ในการวิจัยสูตรผลิตภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนสำหรับปี 2030 ภายใต้พันธสัญญา “L’ORÉAL FOR THE FUTURE” ที่มุ่งยกระดับเร่งการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกเป็นที่ตั้ง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมโลก

เพราะเชื่อการทำงานเพื่อ‘สร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก’ ลอรีอัล กรุ๊ป จึงได้ดำเนินนโยบายปรับแนวทางการบริหารจัดการ การผลิต ออกแบบสูตรและบรรจุภัณฑ์บนพื้นฐานของความยั่งยืนมายาวนาน บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเคารพต่อ ‘ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก’ (Planetary Boundaries) หรือขีดจำกัดที่โลกสามารถรับไหวไว้อย่างชัดเจน

L’Oréal for the Future” ความงามที่ยั่งยืนเพื่ออนาคต

ในปี 2013 ลอรีอัลให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามอย่างยั่งยืนผ่านโครงการในเฟสแรก และตั้งเป้าหมายการทำงาน2013-2020 โดยมีนวัตกรรมเครื่องมือ ‘Sustainable Product Optimization Tool: SPOT’ ในการประเมินและพัฒนาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งถูกนำเข้ามาเป็นปัจจัยหนึ่งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์ในเครือลอรีอัลตั้งแต่เริ่ม

แต่ความใส่ใจในประเด็นสิ่งแวดล้อมมายาวนาน และเพื่อผลักตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม ลอรีอัล กรุ๊ป จึงประกาศพันธกิจด้านความยั่งยืนในชื่อ L’Oréal for the Future เพื่อมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมความงามสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ตามที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2030 เพราะไม่เพียงแค่คิดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ แต่ลอรีอัลยังโฟกัสเรื่องสิ่งแวดล้อมของสถานที่ตั้งโรงงาน การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงงานอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าเคย เหล่านี้จึงทำให้ลอรีอัลเป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ “A” ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน

การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งในกระบวนการผลิตและในการใช้ผลิตภัณฑ์ จึงถือได้ว่าน้ำเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลอรีอัลมุ่งมั่นเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ได้มีส่วนร่วมในรักษาคุณภาพและปริมาณที่สูงอย่างยั่งยืนของน้ำตลอดห่วงโซ่มูลค่า และรวมไปถึงในลุ่มน้ำ และชุมชนที่ให้บริการและดำเนินกิจการ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์มีบทบาทสำคัญในการทำงานเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรอันล้ำค่านี้ไว้ โดย ลอรีอัล กรุ๊ปก็มีความพยายามในหลากหลายรูปแบบที่จะใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ลดการใช้งานให้เหลือแค่เท่าที่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบันมีโรงงานจำนวน 5 แห่งที่เป็น ‘โรงงานระบบน้ำแบบหมุนเวียน’ กล่าวคือ น้ำทั้งหมดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจะถูกนำมาบำบัด รีไซเคิล และวนกลับมาใช้ใหม่

โดยภายในปี 2030 จะมีการประเมินสูตรผลิตภัณฑ์ทุกสูตรด้วยแพลตฟอร์มทดสอบสภาพแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรต่อระบบนิเวศทางน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะบนภาคพื้นหรือชายฝั่ง

บรรจุภัณฑ์ใหม่ที่รักษ์โลกกว่าเดิม

ลอรีอัลเริ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2007 ทำให้ฟุตพรินต์ทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลดน้อยลง และด้วยโครงการ L’Oréal for the Future ที่เน้นย้ำการทำงานด้านนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ทั่วโลก บริษัทจึงได้วางกรอบเป้าหมายการลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ในหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการปรับบรรจุภัณฑ์ให้มีน้ำหนักเบาขึ้น สามารถรีฟิลได้ หรือการใช้วัสดุจากการรีไซเคิลและนำไปรีไซเคิลต่อได้

เพื่อวัดผลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ ลอรีอัลได้สร้างเครื่องมือ ‘Sustainable Product Optimization Tool (SPOT)’ สำหรับจำลองการออกแบบผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ มองหาส่วนที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข และติดตามความคืบหน้า โดยเฉพาะด้านคาร์บอนฟุตพรินต์จากสูตรผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ จากความมุ่งมั่นนี้เอง ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล กรุ๊ปที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยที่ 99.9 เปอร์เซ็นต์ของกระดาษสำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ก็เพื่อการก้าวไปสู่เป้าหมายที่จะเปลี่ยนให้บรรจุภัณฑ์ทุกชนิดให้มาจากวัสดุรีไซเคิล สามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ในปี 2030

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และความยั่งยืน

ลอรีอัลนำเอา ‘Green Science’ สาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกและเทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึง ‘Green Chemistry’ ศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์สูตรผ่านการลอกเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimicry) มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนไปพร้อมๆ กับการมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นและใช้สารเคมีน้อยลงเท่านั้น แต่ยังปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าเดิม

ปัจจุบัน 65% ของส่วนผสมธรรมชาติของลอรีอัล เป็นวัตถุดิบชีวภาพหรือได้มาจากแร่ธาตุที่มีมาก 80% เป็นเป็นวัตถุดิบที่ย่อยสลายตามธรรมชาติได้ง่าย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งได้มาจากแป้งข้าวโพดและใช้สำหรับการสร้างเนื้อสัมผัส 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติหรือมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น วิตามินซี และ 29% เป็นส่วนผสมที่ได้จาก Green Chemistry หรือกระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน ใช้พลังงานต่ำ และสารทำละลายที่อ่อนโยนอย่างน้ำและเอทานอล ไปพร้อม ๆ กับการลดปริมาณของเสียที่เกิดขี้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ส่วนผสมที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและมีปริมาณการใช้น้ำเพียงน้อยนิด

ลอรีอัล กรุ๊ป มีเป้าหมายใส่ใจผลิตภัณฑ์ความงามด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการศึกษา ออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การทำงานต้นน้ำถึงปลายน้ำของผลิตภัณฑ์ เพราะอยากสร้างภาพจำให้กับทุกคนว่า ‘ความงาม’ ก็สามารถช่วยขับเคลื่อนโลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำวิสัยทัศน์L’Oréal for the Future สู่สายตาผู้บริโภคยิ่งขึ้นไป และเพื่อคงไว้ซึ่งการรักษาระดับ ‘AAA’ ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ ที่ได้รับการการันตีอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 8 ปีต่อไป