“เทอม 3” ถือเป็นงานโชว์ของชั้นยอดอีกเรื่องจากค่าย “สหมงคลฟิลม์” ที่นำมาจัดฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงกลางปี 2567 ตัวหนังแบ่งออกเป็น 3 พาร์ท 3 เรื่องราว เริ่มจาก “ขบวนแห่” ที่ได้ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” มาเป็นโปรดิวเซอร์ โดยมี “นัทสอ-สรวิชญ์ เมืองแก้ว” และ “ตู้-อัศฎา ลิขิตบุญมา” สองผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงร่วมกุมบังเหียน มีดาราแม่เหล็กอย่าง “อุ้ม-อิษยา ฮอสุวรรณ” รับบท “ก้อย” และ “ตาต้า-ชาติชาย ชินศรี” พระเอกหนุ่มจากเรื่อง “สัปเหร่อ” มารับบท “ฮ่องเต้” โดยทั้งสองไปขอพรกับ “ศาลเจ้านาง” ในป่าลึกแถวมหาวิทยาลัย เพียงเพราะอยากได้ทุนเรียนต่อ ทั้งที่รู้ว่าศาลแห่งนี้จะไปขอพรได้เฉพาะ “คู่รัก” เท่านั้น การไปขอทั้งที่ไม่ใช่คู่รักกันจริง ๆ ก็เหมือนกับไปลบหลู่สิ่งลี้ลับ ผลที่ตามมาก็คือ “…จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอันเป็นไป…เพราะความรัก…”

สำหรับตำนาน “ขบวนแดง” เป็นเรื่องราวจากรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ โดยทุกวันเข้าพรรษาในแต่ละปี เวลากลางคืนจะเงียบสงบผิดปกติ บางครั้งจะได้ยินเสียง เคาะ “กังสดาล” (ระฆังวงเดือนทำด้วยโลหะหล่อสัมฤทธิ์ หรือทองเหลือง เป็นแผ่นรูปวงเดือน ตีเพื่อให้สัญญาณสำหรับกิจกรรมทางศาสนาตามแบบวัฒนธรรมล้านนา) เสียงดังไปตลอดคืน นั่นก็เพราะเป็นเสียงของขบวนแห่ไร้หัว หรือ “ขบวนแดง” ที่เจ้านางและทาสไร้หัวกำลังเดินประพาสป่า ซึ่งในสมัยปัจจุบันก็คือพื้นที่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาหลายคน พยายามไปพิสูจน์เรื่องดังกล่าว แต่กลับไม่เจอกับ “ขบวนแดง” ตามที่รุ่นพี่เล่าขานให้ฟัง

โดยตำนานเล่าว่า สมัยที่เชียงใหม่ยังไม่ได้เป็นสยามประเทศ ถูกปกครองด้วยเจ้าเมืองท่านหนึ่ง ซึ่งมีบุตรสาวเป็นเจ้านาง มีสิริโฉมงดงาม แต่ภายหลังกลับไปหลงรักทาสหนุ่มที่แบกเสลี่ยง ทำให้กลายเป็นรักต้องห้าม เจ้าเมืองจึงออกอุบายให้ทาสแบกเสลี่ยง พาเจ้านางไปประพาสป่า ก่อนจะสั่งให้กุดหัวหรือตัดหัวทาสหนุ่มต่อหน้าเจ้านาง สุดท้ายด้วยความเสียใจอย่างหนัก เจ้านางจึงสิ้นสติขาดใจ ตายตามทาสคนรักไป เจ้าเมืองจึงได้ฝังศพของทั้งคู่ไว้ด้วยกัน ก่อนสั่งประหารทาสที่ติดตามขบวนประพาสป่านั้นทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเกียรติยศของเจ้านางในภายหลัง เรื่องราวทั้งหมดจึงก่อเกิดเป็นตำนาน “ขบวนแดง” นั่นเอง

“พี่เทค” เรื่องลึกลับจากรุ่นพี่ มหาวิทยาลัยแถวภาคอีสาน กำกับโดย “เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญจพล” ผู้กำกับหนังสารคดีและฟิกชั่น ลองผันตัวมาทำงานหนังสยองขวัญเรื่องแรก หนังได้นักแสดงรุ่นใหม่อย่าง “จั๊มพ์ พิสิฐพล” รับบทเป็น “เอิร์ธ” รุ่นพี่สายวีนแอนตี้ระบบ “โซตัส” และ “อัด อวัช” รับบทเป็น “ซัน” รุ่นน้องสายเฟรนด์ลี่ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มนักศึกษาจัดกิจกรรม “พี่เทค” ขึ้น โดยให้รุ่นพี่เข้าไปทำความรู้จักกับรุ่นน้องในระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะให้รุ่นน้องทายว่าใครคือ “พี่เทค” ของเขาเอง ซึ่งในวันเฉลยจะมีการทำพิธีบายศรีรับขวัญรุ่นน้องด้วย แต่ทว่า…เอิร์ธ ไม่อยากร่วมกิจกรรม ทั้งที่ตัวเองเป็นพี่เทคของ “ซัน” ระหว่างนั้น เกิดเรื่องราวแปลกประหลาดขึ้น เมื่อ จู่ ๆ ก็มีคนส่งหนังสือเกี่ยวกับศิลปะที่ “ซัน” ชื่นชอบมาให้หลายครั้ง ใครคือคนที่ต้องการเป็น “พี่เทค” ของ “ซัน” กันแน่…

“ศาลล่องหน” เรื่องลึกลับจากรุ่นพี่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน กทม. กำกับโดย “โจ้-อรุณกร พิค” ผู้กำกับหนุ่มที่ถนัดงานหนังแนวตลก (comedy) พร้อมทีมดาราแม่เหล็กอย่าง “มาร์ช จุฑาวุฒิ” รับบทเป็น “วาฬ”, “แพรวา ณิชาภัทร” รับบทเป็น “มินท์” และ “มาร์ค ศิวัช” รับบทเป็น “ฮาเลย์” เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “วาฬ” ไปเอาพวงมาลัยจาก ศาลตา-ยายปริศนา ข้างตึกในคณะที่เรียน เพื่อมาคล้องคอให้ “มินท์” ในงานกิจกรรมแข่งร้องเพลงวันฮัลโลวีน ผลที่ตามมาก็คือ เกิดเรื่องราวประหลาดเมื่อจู่ ๆ ผีตา-ยาย เหล่านางรำ และข้าทาสบริวาร ต่างแห่กันมาตามหลอกหลอนไม่จบสิ้น พวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือจาก “ฮาเลย์” เพื่อนผู้รอบรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด มีบางอย่างเกิดขึ้นกับ ศาลตา-ยาย ทำให้ผีสางต่างอยู่กันไม่สงบ อะไรคือต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมด สามารถติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น..

จุดแข็ง แต่ละเรื่องจะโชว์งานขายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแบบสุด ๆ เริ่มจาก “ขบวนแห่” เป็นหนังที่ดูแล้วสยองที่สุดใน 3 เรื่อง ฉากโชว์ตัดหัวเหมือนจนน่ากลัว (ของเตือนไว้ก่อนสำหรับคนจิตใจอ่อนไหว) การแสดงของนักแสดงหลักไร้ที่ติ อุ้ม-ตาต้า เคมีเข้ากันได้ดี ช่วงเนื้อหาท้ายเรื่อง ดูแล้วสงสารจับใจ แววตาของ “ก้อย” ที่หันมายิ้มทั้งน้ำตาให้เพื่อนรักอย่าง “ฮ่องเต้” เป็นอะไรที่สุดจริง!!

“พี่เทค” เป็นงานโชว์ CGI ทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง มีการแฝงอารมณ์ของสาย Y เข้าไปนิดหน่อย มีความแปลกใหม่ที่สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก หนังยังได้แฝงความคิดของคนรุ่นใหม่ และปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัยเอาไว้ด้วย

“ศาลล่องหน” เรื่องนี้ขอการันตีว่า ผู้ชมน่าจะชื่นชอบมากที่สุด เพราะมีครบทุกอารมณ์ ทั้งน่ากลัว หวาดผวา ตลกขบขัน แม้ตอนจบก็ยังจบได้ดี มีเหตุผลในตัวของมันด้วย การแสดงของ “มาร์ช” กับ “แพรวา” เคมีเข้ากันมาก หนีผีกันไปบ่น ๆ กันไป ยิ่งได้ “มาร์ค” มาเบรกความน่ากลัว แล้วให้บทของผีแย่งซีน เป็นอะไรที่ลงล็อกที่สุด..

จุดอ่อน สำหรับหนัง “ขบวนแห่” หนังเน้นงานโชว์ความสยองล้วน ๆ ขณะที่บริบทของตัวละคร การใส่ใจรายละเอียด ลักษณะเป็นการเล่าคร่าว ๆ ก่อนจะดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว โลเคชั่นไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ กลางวันแสก ๆ ผีก็ยังโผล่ให้เห็น จัดเต็มความสยองกันสุดขีด

“พี่เทค” โทนของหนังเหมือนเป็นเชิงสืบสวน เป็นการเล่าเรื่องแบบคร่าว ๆ ก่อน โชว์งานเมคอัพ และ CGI แต่ก็ยังไม่สามารถดึงอารมณ์ความน่ากลัวออกมาได้ถึงขั้นสุด เกิดช่องว่างและความไม่สมดุลหลายสิ่งอย่าง ดูเรื่องนี้จบแล้วยังต้องมานั่งคิดว่า ฉากก่อนหน้านี้มันอิหยังวะ?

“ศาลล่องหน” หนังดูครบถ้วนสมบูรณ์ มีนักแสดงคุณภาพถึง 3 คน แต่หากพิจารณางานการแสดงแล้ว ยังไง “มาร์ช” ก็ยังเป็นตัวแบกของเรื่องทั้งหมดอยู่ดี…

4/5 กะโหลก เป็นหนังไทยที่ดูแล้วสนุก สยอง หลอนผวา ตลกฮา ถือเป็นงานคุณภาพของค่าย “สหมงคลฟิลม์” ที่น่าส่งเสริมและติดตามกันต่อไป.

———————————————

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สหมงคลฟิลม์