หลักใหญ่ใจความ ก็มาจากเรื่องของเศรษฐกิจที่กำลังเหือดแห้งอย่างหนัก หลังสภาพัฒน์เผยตัวเลขจีดีพี ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่เติบโตเพียง 1.5%

ที่สำคัญ!! ยังเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในอาเซียนอีกต่างหาก ถ้าขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยอาจหมดเสน่ห์ไปโดยปริยาย โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุน

อย่าลืมว่าที่ผ่านมา นายกฯเศรษฐา ได้ประกาศตัวเองว่าเป็นเซลส์แมนของประเทศ สู้อุตส่าห์เดินสายในหลายประเทศ ในหลายรอบ ร่ายมนต์เรียกนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในไทย

แต่ถ้าตัวเลขจีดีพี ยังไม่เป็นที่ดึงดูด ก็อาจไม่อยู่ในสายตาของต่างประเทศก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะจีดีพีไทย ต่ำกว่าเวียดนาม คู่แข่งสำคัญ ที่เติบโตมากถึง 5.66%  หรือ… แม้แต่อินโดนีเซีย ที่กำลังเป็นคลื่นลงทุนลูกใหม่ ที่ต่างชาติกำลังให้ความสนใจเพราะมีประชากรมากกว่า  279 ล้านคน ยังเติบโตได้ถึง 5.11%

ใช่แค่นายกฯเศรษฐา เท่านั้น!! ที่กังวล เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ยังส่งสัญญาณ ให้เรียกประชุมครม.เศรษฐกิจ เพื่อระดมสมอง หาทางฟื้นกำลังซื้อให้ประชาชนคนไทยโดยระบุว่า ต้องรีบหาทางแก้ไข อะไรที่ต้องโด๊ป ต้องรีบยกขึ้นมาสูง ๆ เพราะวันนี้กำลังซื้อของประชาชนไม่มีเลย

ดังนั้น!!การจะปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ดีแน่ โดยเฉพาะต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับบรรดาคะแนนเสียงกว่า 10 ล้านเสียง

ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนการประชุมครม.เศรษฐกิจ นายกฯเศรษฐา ก็เรียกรองนายกฯและรมว.คลัง อย่าง พิชัย ชุณหวชิร” พร้อมด้วย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าแบงก์ชาติ มาเปิดอกทำความเข้าใจร่วมกันให้ชัดเจนซะก่อนว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเหือดแห้งจริง ๆ

ด้วยเหตุนี้…การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน ต้องเดินไปด้วยกันจะปล่อยให้ต่างคนต่างเดินอย่างนี้อีกต่อไปไม่ได้ โดยเฉพาะในเดือนหน้า (มิ.ย.) ที่กำลังจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.อีกครั้ง

แน่นอนว่า!!มาตรการที่รัฐบาลต้องเข็นออกมาให้เร็วที่สุด ก็หนีไม่พ้นการเข็นนโยบายการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แม้ว่า ณ เวลานี้ ปัญหาเรื่องของแหล่งเงินที่นำมาใช้ในโครงการจะยังไม่ลงตัวก็ตาม

แต่นโยบาย “เรือธง” ของรัฐบาล โครงการนี้ก็สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีได้อีก 0.25% เท่านั้น หากรวมกับการที่สภาพัฒน์ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 67 นี้ ที่  2.5%

เศรษฐกิจไทยก็จะสามารถเติบโตได้ไม่ถึง 3% อยู่ดี!!

ขณะที่การออกมาตรการฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ปี  67 การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท

หรือแม้แต่การออกโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home  วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท สินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท  รวมไปถึงการให้การส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่สร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย

รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือว่า มาตรการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้ถึง 1.58% ก็ตาม แต่จนถึงป่านนี้…เสียงที่ส่งกันออกมาจากบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต่างพร้อมเพรียงกันว่า แบงก์เข้มงวดกับการปล่อยกู้  อยากให้แบงก์ชาติผ่อนปรนมาตรการแอลทีวี

แต่สุดท้ายแบงก์ชาติยืนกรานว่า เป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ในเมื่อคนกู้มีความเสี่ยง แบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้อยู่แล้ว ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนในเรื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ก็ยังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งการจะหวังให้เม็ดเงินตรงนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว ก็เป็นเรื่องยากอีกเช่นกัน

ขณะเดียวกันการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็ยังไม่เข้าเป้า โดยในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 67 (ต.ค.66 – มี.ค. 67) จัดเก็บได้ที่ 1,168,900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย27,819 ล้านบาท หรือต่ำกว่า  2.3%

ดังนั้น!! ก็ต้องมารอดูกันว่าการประชุมครม.เศรษฐกิจ นัดแรก ครั้งนี้รัฐบาลจะงัดมาตรการอะไร? ออกมาให้เห็นชัด ๆ เพื่อเติมเงินเข้าสู่ระบบ นอกเหนือไปจากการปลดล็อกสารพัดอุปสรรคที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้!!.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่