ในส่วนของวงการบันเทิงกระแสหลักก็ยังมีการแข่งขันสูงมาก ผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้งผู้อยู่หน้ากล้อง บุคคลเบื้องหลัง ก็เริ่มหันมามองแพลตฟอร์มใหม่ เนื่องจากมีความเปิดกว้างในการเสนอเนื้อหามากกว่าสถานีโทรทัศน์หลัก  มีการลงทุนที่ย่อมเยากว่า  แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกจากผู้มีความคิดสร้างสรรค์จะผลิตเนื้อหาของตัวเอง สถานีโทรทัศน์หลักหลายเจ้าก็หันมาคว้าส่วนแบ่งการตลาดนี้เช่นกัน อาจเป็นเรื่องของการใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดียในการสร้างกระแส หรือโฆษณา จนกระทั่งเปิดช่องทางอินเทอร์เนตเพิ่มเติม 

เรื่องสื่อใหม่ที่การลงทุนย่อมเยานี่ บางครั้งก็ตอบสนองต่อความฝัน หรือการเผยแพร่ความคิดของผู้ใช้สื่อ อย่างเช่น การผลิตหนังสั้นออกฉาย การโชว์ความสามารถต่างๆ การจัดช่องพูดคุย ช่อง Do it yourselves หรือสอนทำอะไรด้วยตัวเอง ทำอาหาร งานช่าง ฯลฯ  แล้วได้เห็นยอด engagement ได้ทดลองฝีมือไปเรื่อยๆ จาก “ละครคุณธรรม” ไปเนื้อหาประเภทอื่นๆ จนกระทั่งว่า เขาสามารถหารายได้จากช่องทางโซเชียลมีเดียได้เป็นกอบเป็นกำ อาจถึงขนาดขายลิขสิทธิ์รายการให้กับช่องใหญ่ได้  การ “สร้างตัวตน”ผ่านสื่อโซเชี่ยลมีเดีย คือความสร้างสรรค์รูปแบบหนึ่งที่พัฒนาเป็นอาชีพได้ บางครั้งรัฐบาลสนับสนุนด้วยซ้ำ เช่น การขอรับทุนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ถ้าเป็นเนื้อหาด้านการเผยแพร่วัฒนธรรม หรือโชว์การท่องเที่ยวไทย ไปถึงอะไรต่างๆ ที่ใช้เป็น soft power ที่เรากำลังสร้างจุดขายในขณะนี้ได้

วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ “เจส” หรือ “เจษฎา ปลอดแก้ว” เจ้าของช่องหน้าใหม่บนแพลตฟอร์ม Youtube ช่อง “แหวกหมี – WakeMee World Official” ที่ขณะนี้ มีผลงานกำลังผลิตอยู่ โดยเจสเติบโตมากับสายการเขียนบทมาก่อน และอยากได้โอกาสที่จะเล่าเนื้อหาที่ตัวเองคิด ผลิตเอง โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการพิจารณาจากช่องใหญ่หรือนายทุน

“ที่เปิดช่องนี้ขึ้นมา เพราะเราอยากมีเวทีหรือช่องทางในการเผยแพร่ผลงานของตัวเองครับ” เจาเล่า  “สมัยก่อนตอนรุ่นๆที่ผมเคยร่วมงานในวงการบันเทิง ก็มีไอเดียและมีหลายอย่างที่คิด ที่ขีดเขียนทำเก็บไว้มากมาย แต่ติดอยู่แค่ว่าไม่มีช่องทางในการให้แสดงสิ่งเหล่านี้ออกมา ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนเขียนบท ไม่ว่าจะเป็นบทประพันธ์ไปจนถึงบทโทรทัศน์จากละครช่องต่างๆ เคยทำงานทั้งเป็นทีม รวมถึงผลงานเดี่ยว ซึ่งเอาจริงๆทีแรกไม่ได้อยากจะเปิดช่องจริงจังขนาดนี้เพราะคิดว่าเราเองก็คงไม่สามารถไปเทียบเท่า youtuber หรือใครที่มียอดคนติดตามเป็นแสนเป็นล้านได้ เพียงแค่อยากมีช่องทางเพื่อได้ลงผลงานของตัวเองก็เท่านั้น”

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมทำงานหลายอย่าง ทั้งฟรีแลนซ์ งานประจำ และงานเขียน ไม่สามารถทำงานกับช่องได้อย่างเต็มที่จึงตัดสินใจพักงานส่วนนั้นไปเพื่อทำงานประจำช่วงหนึ่งเลย และนั่นเป็นเป็นจังหวะเดียวกับที่รูปแบบของการแข่งขันในเชิงธุรกิจของช่องเริ่มเปลี่ยนไปเพราะเริ่มมีดิจิตอลทีวีเข้ามา จากบริษัทที่เคยซื้อพื้นที่ตามช่องต่างๆก็เริ่มขยับไปเปิดช่องของตัวเอง นั่นก็ทำให้มีผลกระทบถึงทีมงาน ซึ่งจากทีมที่เคยทำงานด้วยกันก็มีการย้ายช่องบ้าง บางคนก็หายไปบ้าง เริ่มรุ่นใหม่เข้ามา ซึ่งเขาก็มาพร้อมอะไรใหม่ๆไอเดียดีๆเก๋ๆ ทำให้มีสีสันมากขึ้น ของฝั่งละครไทยเองก็เริ่มมีซีรีย์เข้ามาฉีกขนบจากละครเดิมๆ จากไม่มีสายวายก็เริ่มมีมากขึ้น จนวงการละครและซีรีส์ในยุคนั้นคึกคักมาก การจะกลับไปโลดแล่นอยู่บนช่องก็อาจจะยาก

ผมยังรับงานเขียนบทอยู่แต่ก็ไม่เฟื่องฟูเหมือนก่อน จนวันนึง มาพบทีมงานเก่าๆ ที่เคยร่วมงานกัน ก็คุยกันว่าอยากทำอะไรที่ได้สนุกด้วยกันอีกครั้ง  แล้วหาโปรเจ็คไปนำเสนอแพล็ตฟอร์มต่างๆเผื่อเขาจะสนใจ ปรากฏว่าโอกาสก็ไม่ได้ถูกหยิบยื่นให้เรา ซึ่งเราเข้าใจได้นะหากมองในมุมธุรกิจคือเราเองก็วางมือไปนานแล้วเหมือนกัน และอีกอย่าง การแข่งขันปัจจุบันก็สูง บางครั้ง เนื้อหาที่เราอยากทำมันไม่ใช่อะไรที่เป็นกระแส หรือตอบสนองในแง่ธุรกิจเขาได้  ช่อง“แหวกหมี – WakeMee World Official”มันเป็นช่องที่เคยมีอยู่แล้ว ใช้ดูหนังฟังเพลง ผมเลยตัดสินใจเอาผลงานมาลงไว้ ตอนแรกคิดเพียงแค่หากนำเสนอนายทุนหรือค่ายที่เขามีกำลังการผลิตมากกว่าเราอีกครั้งเขาอาจจะสนใจ แต่ปรากฏว่าหลังจากผลงานลงไปอยู่ในแพล็ตฟอร์ม ผู้ติดตามและยอดคนดูเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆภายในไม่ถึงเดือน”

เจสได้ชักชวนเพื่อนฝูงในวงการมาพูดคุย คิดพลอต คิดบท ตกผลึกจนกลายเป็นซีรีย์ “ผวา Diary เรื่องบ้านสิบชั่วโคตร” เป็นซีรี่ย์ขนาดสั้นที่มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับบ้านหลังหนึ่งที่ดูเหมือนบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้ล้วนแล้วแต่ลึกลับจนต้องพาให้ทุกคนตามหาความจริง และถลำลึกไปสู่สิ่งที่เกินคาดเดา ซึ่งเขาเชิญชวนให้กดติดตามแล้วดูที่ช่อง “แหวกหมี – WakeMee World Official” ทุกวันพุธ 1 ทุ่มตรง

เมื่อถามถึงเนื้อเรื่อง และว่า ทำไมถึงเริ่มจากเรื่องสยองขวัญ ( ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ตอบโจทย์คนไทยก็ได้ เพราะรายการเรื่องเล่าผีๆ มันฮิตมา 20-30 ปีแล้ว ) เจสกล่าวว่า “คือจริงๆเรื่องนี้เป็นพล็อตที่ผมคิดไว้ในหัวและวางแผนตั้งแต่แรกว่าจะเอามาตีพิมพ์เป็นนิยายเรื่อง ผวา Diary เป็นเล่มๆ ซึ่งแต่ละเล่มก็จะเล่มละเรื่อง และก็จะแยกย่อยออกเป็นหลายเรื่อง แต่ปรากฏว่าได้มีการพูดคุยกับพี่กีฟ สุภานันท์ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่ซีรี่ย์ช่องเจ็ดสมัยก่อนว่าสนใจจะทำเป็นซีรี่ย์ แต่ติดที่งบประมาณ พอคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจร่วมกันว่าจะถ่ายแบบเอาพละกำลังที่มีในงบที่จำกัดนี่แหละ ทำออกมาให้ดีให้ได้  มันเหมือนย้อนวัยไปสมัยมหาวิทยาลัยที่แบบต่างคนต่างปล่อยของร่วมกันแล้วสนุกดี ส่วนตัวนี่ผมชอบหนังผี หนังสยองขวัญมาแต่เด็ก คนที่เคยทำงานด้วยกันรู้ว่า สิ่งนี้เป็นทางของผมจริงๆ” เจสหัวเราะเมื่อพูดถึงตรงนี้ และว่า ถึงแม้จะเป็นโปรดักชั่นเล็กๆ แต่ก็ “ใส่เต็มที่ไม่แพ้ละครขายช่อง เพียงแต่มาอยู่ในแพลตฟอร์มที่เล็กลง และอยากให้คนดูรู้สึกสนุกไปกับสิ่งที่เรานำเสนอ

อย่างที่ว่า คนไทยชอบเรื่องผีๆ ซึ่งละครจบในตอนที่เป็นเรื่องผีก็มีมาเรื่อยๆ เก่าหน่อยก็มิติมืดช่องเจ็ด เขย่าขวัญวันพุธช่องสาม จนมาถึงอังคารคลุมโปง ยายกะลา ตากะลี ซึ่งเจสสามารถเสนอพลอตให้ลองทำกับทีวีทั่วไปก่อนก็ได้ แต่เขาเลือกการช้แพลตฟอร์มยูทูป  โดยบอกว่า “เพราะเป็นช่องทางที่ให้อิสระในการสร้างสรรค์ผลงานครับ ไม่ว่าเนื้อหา หรือรายละเอียดต่างๆ และเป็นแพล็ตฟอร์มที่คนทั้งโลกใช้กัน ฉะนั้นความอิสระตรงนี้มันทำให้เราสามารถเชื่อมโยงกันกับคนที่ชอบเสพย์ในผลงานแบบของเราจากที่ไหนก็ได้  ความคิดหรือไอเดียอาจจะออกมาได้โดยไม่ต้องถูกบีบหรือมีกรอบให้เล่นตามกระแสของสังคมหรือเรื่องอื่นที่ดังๆ ณ ขณะนั้น

ส่วนนักแสดงในเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงโด่งดังมาก หน้าใหม่ก็สามารถเล่นได้เพราะจุดเด่นของผลงานแต่ละชิ้นก็คือเนื้อหาและเนื้อเรื่อง  ถ้าเกิดเป็นนักแสดงหน้าใหม่ก็เป็นโอกาสให้เขาเหล่านั้นได้อวดฝีมือใช้บทบาทตรงนั้นผลักดันให้เขาไชน์ ( shine ) ขึ้นมา ซึ่งบางเนื้อหามันสามารถไปได้สุดอย่างที่เราอยากให้มันเป็นจริงๆ อีกอย่างสำหรับทั้งคนดูและคนทำมันเรียล มันไว มันสด มันจริงมาก มันคือที่คนดูสามารถตอนโต้สื่อสารกับทีมที่ผลิตได้อย่างทันทีทันใด ฉะนั้นคอมเม้นท์หรือกระแสที่เราได้รับมันจะเป็นเรื่องที่ทันท่วงทีมากๆ”

คำถามต่อมาคือ แล้วข้อเสียของช่องทางนี้มีบ้างหรือไม่  เจสนั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ไม่อยากเรียกว่าเป็นข้อเสีย เรียกว่าเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามผ่านให้ได้ดีกว่า นั่นคือ“ชื่อ” ของที่คนอื่นเรียกเรา คือได้ยินมาหมดแล้วทั้ง เพจละครสั้น ช่องหนังสั้น Youtuber influencer คือที่จริงจะบอกว่าเราแค่เป็นคนที่อยากนำผลงานออกสู่สายตาคนดูก็เท่านั้นเอง คือไม่ใช่ว่าชื่อเหล่านั้นไม่ดีนะครับ อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่สิ่งที่คนเรียกเรามันไม่ได้เรียกเฉยๆ มันมาพร้อมอคติบางอย่างที่เขามองเราอย่างบอกไม่ถูก”ซึ่งตรงนี้ คาดว่า เขาคงหมายถึงว่า คำที่ใช้แทนผู้ผลิตเนื้อหาทางอินเทอร์เนต ยังไม่ถูกให้ความหมายในระดับ “มืออาชีพ”

แต่กระนั้นก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนเราได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ออกมา โดยความท้าทายคือ เรื่องของทุน จึงต้องถามว่า การผลิตมันสร้างรายได้อย่างไร เจสตอบว่า  “รายได้หลักมาจากยอดคนดูใน YouTube เงินสนับสนุนจากคนดูที่จะกดส่งให้เราเป็นของขวัญ เงินจากผู้สนับสนุนประเภทต่างๆที่อยาก Tie in มาในเนื้อหา ส่วนของเงินโฆษณาจะมี 2 ส่วน หนึ่งคือสปอนเซอร์ของเราเองที่หามากับอีกส่วนคือโฆษณาที่ได้มาจากทางฝั่ง YouTube ถ้าเนื้อหาที่เราผลิตมามีคุณภาพ เราจะเข้าเกณฑ์ในการรับรายได้จาก YouTube ได้ไวมากขึ้น หากเราตั้งใจผลิต Content และผลงานคุณภาพออกมาเราก็ จะได้รายได้อย่างแน่นอน”

คำถามต่อมาคือ เช่นนั้นแล้ว มันก็ต้องมีการแข่งขันกันบนแพลตฟอร์มหรือไม่ เจสยอมรับว่า มีการแข่งขันหนักพอสมควร เพราะคนใช้แพลตฟอร์มยูทูปหลายล้านคน ก็ฟาดฟันกันเพื่อจะได้ยอดวิวมากกว่าผู้อื่น สร้างตัวตนเป็น influencer ที่มีอิทธิพลทางสังคมได้ แต่เขามองแง่ดีว่า ในการแข่งขัน คนที่คุ้มค่าที่สุดคือผู้บริโภค ที่ได้ดูเนื้อหาหลากหลายมากขึ้น และเขาคิดว่า โปรดักชั่นเล็กก็มีข้อดี “ ผมมองว่าคนการทำโปรดักชั่นเล็กมันได้อะไรที่ดิบ เรียล และกล้าที่จะทำอะไรสวนกระแส แล้วยิ่งเล็กผมมองว่ามันยิ่งสนุก มันรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปสมัยก่อนที่เรามีสองมือแต่เราปั้นมันมาแล้วมันโคตรสนุก แต่อาจมีติดขัดบ้างในหลายๆเรื่องแต่ด้วยความที่โปรดักชั่นเล็กๆมันก็ถือเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นประตูโอกาสให้หลายๆคนที่อยากทำตรงนี้ได้เข้ามาลอง และแน่นอนสิ่งที่เป็นอุปสรรคเราก็จะเก็บไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไป” เขาพูดตรงนี้ด้วยแววตาเป็นประกาย  ทำให้เราเห็นถึงความตั้งใจอย่างมาก ที่จะเผยแพร่เนื้อหาที่ตัวเองคิด

“ผมมีแผนขยายช่องนะ  วางแผนไว้ว่าอยากมีรายการที่หลากหลายมากขึ้น แต่ก็ยังคงมาตรฐานการผลิตรวมถึงเนื้อหาที่ดึงคนดูให้สนุกไปพร้อมกับเรา อาจจะมีรายการเกี่ยวกับ LGBTQ+ รายการเกี่ยวกับการทำอาหาร เล่าเรื่องผี ท่องเที่ยวอะไรแบบนี้ปะปนกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูผลตอบรับของคนดูด้วยครับ เราอยากจะเน้นสร้างความบันเทิงให้ได้มากที่สุด ก็อยากจะไปให้สุดด้านนี้จริงๆครับ”

แพลตฟอร์มที่เปิดกว้างขึ้นก็คือโอกาสในการสานฝันของคนตัวเล็กๆ บางที…เรื่องของเจสอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครที่มีไอเดียดีๆ อยากบอกเล่าเรื่องต่างๆ ในลักษณะละครหรืออื่นๆ ได้ โอกาสเปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจ และมันจะดียิ่งขึ้นถ้าเรามีทีมสนับสนุนที่แข็งแรง.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่