พอจะสิ้นปี สื่อแต่ละที่ก็จะสรุปเหตุการณ์น่าสนใจ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมอย่างมีนัยยะสำคัญ อารมณ์ก็ประมาณ “จดหมายเหตุ”แห่งปี ซึ่งคำว่า “น่าสนใจ”หรือ “ที่สุดแห่งปี”ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ในปีนี้ก็มีอะไรเปรี้ยวๆ เก๋ๆ เยอะ เนื่องจาก เลือกตั้งใหม่แล้วจัดตั้งรัฐบาล และเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ และรมว.กลาโหม ออกจากการเมืองได้ แล้วก็ไปเป็นองคมนตรี เรียกว่า “พ้นโลก”ไปแล้ว ส่วนคนในสนามการเมืองก็ยังทะเลาะตบตีกันต่อไป ..ในยุคนี้ โซเชี่ยลมีเดียมีอิทธิพลในการสื่อสารมาก กลายเป็นว่า กองเชียร์สองพรรคนี่ตีกันสนุกสนานมาก คือกองเชียร์ของเพื่อไทย และกองเชียร์ของก้าวไกล ..ถ้าเข้าขั้นด้อยค่ากันก็เรียกว่า “นางแบก” กับ “ส้มเน่า” ด่าซัดด้อยค่ากันไปมา ปล่อยพรรคร่วมรัฐบาลทำงานไปเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่า ที่สุดแห่งปีที่น่าเอามารวบรวม คือ พวกตลกร้ายแห่งปี ซึ่งในการเมืองนี่มีเย้อ…เยอะ..จะเอาอะไรก่อนดีล่ะ … เริ่มจากนี่ก็ได้

1.รัฐบาลแห่งปี นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตผู้บริหารบริษัทแสนสิริ ผู้ค้าอสังหารายใหญ่  นายเศรษฐาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้นคิดว่า ถ้าชู  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอิทธิพลต่อพรรค อาจยัง“ไม่ปลอดภัย”เท่าที่ควร ประกอบกับประสบการณ์การเมืองยังน้อย และเป็นแม่ลูกอ่อน เพิ่งคลอดก่อนเลือกตั้งเดือน พ.ค.ไม่กี่วันเอง ขณะที่นายเศรษฐามีความพร้อมกว่า

มันเป็นรัฐบาลแห่งปีเพราะมันจัดตั้งรัฐบาลกันแบบเหลี่ยมทุกดอกแล้วบอกเพื่อนกัน ตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ปรากฏว่าดันแพ้พรรคก้าวไกล ซึ่งตรงนี้ก็น่าชวนหัวอยู่ตอนแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ แทนบัตรเลือกตั้งใบเดียวที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ( กรธ.) กำหนดให้เอาคะแนนที่ไม่ชนะหรือที่เขาเรียกว่าคะแนนตกน้ำมาคำนวณด้วย ใช้ระบบแบบนับคะแนนบัตรดีทั่วประเทศแล้วหารสองสามชั้นเพื่อกำหนดจำนวน สส.ที่พึงมี จากนั้น เอา สส.เขตไปหักจาก สส.พึงมี ถ้า สส.เขตได้เกิน สส.พึงมี ก็ให้ได้แค่ สส.เขต ไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งตอนเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญนี้ครั้งแรก ปรากฏว่า สส.เขตของเพื่อไทยมากกว่าพึงมี

เพื่อไทยเลยไม่ได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์สักเก้าอี้ แต่พรรคก้าวไกลมากับกระแส คำนวณแล้วได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์สูงมาก ดัน สส.เข้าสภาได้เป็นพรรคอันดับสาม .. ต่อมา ก็มีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ พรรคก้าวไกลก็มีท่าทีออกจะค้าน ให้คงจำนวน สส.พึงมีไว้ แต่ที่สุดแล้ว รัฐธรรมนูญก็แก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ นับคะแนนแยก .. พอผลเลือกตั้ง  14 พ.ค.66 ออกมา กลายเป็นพรรคเพื่อไทยเงิบแทน คิดว่าจะกวาดทั้งเขตทั้งปาร์ตี้ลิสต์ ปรากฏแพ้ก้าวไกลไป 10 เก้าอี้ ซึ่งเผลอๆ ถ้าคงระบบเดิม ก้าวไกลอาจไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์เพราะกวาดเขตไปเยอะ

พอผลเลือกตั้งประกาศอย่างไม่เป็นทางการปุ๊บ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลขณะนั้น ออกมาประกาศจับมือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลทันที อารมณ์แบบ “ไม่บอกไม่กล่าวกูเล้ย” ( เพื่อไทยว่า ) บอกว่าต้องขจัดระบอบประยุทธ์ นิรโทษกรรม ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำสวัสดิการรัฐเท่าเทียม ฯลฯ แต่ปรากฏว่า การตั้งรัฐบาลมันก็ไม่ง่ายเพราะต้องได้เสียง สว.หนุนให้ถึงกึ่งหนึ่งของสองสภา พรรคเพื่อไทยก็โยนโครม!! บอก “หน้าที่พรรคอันดับหนึ่งต้องหาเสียง สว.มาหนุนให้ครบ !! ( ไม่ใช่หน้าที่ชั้น !! ) ตอนนั้นก็มีข่าวนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลขณะนั้น และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคขณะนั้น ไปวิ่งคุยกับ สว. แบบก่อนไปประกาศโต้งๆ “ปิดสวิตช์ระบบประยุทธ์”

มีบางคนแถวๆ นี้บอกว่า..เธอขา ..สว.น่ะ คสช.เขาตั้งมา ทหารตั้งกี่คน แล้วเธอไปบอกปิดสวิตช์ระบบประยุทธ์ คงมียกมือให้เธอบ้างประปรายนะคะ …แล้วก็เป็นจริง ตรงที่พอเสนอญัตติโหวตนายพิธาเป็นนายกฯ ก็เจ๊ง .. กลายเป็นว่า มานั่งตีความกันสนุกสนานอีก ว่า “การเสนอโหวตนายกฯ เป็นญัตติหรือไม่ ?” เพราะถ้าเป็นญัตติแล้วถูกโหวตคว่ำ จะเข้าได้ในวาระการประชุมสภาสมัยหน้า ( คือสมัย 12 ธ.ค.) แล้วก็มีกระแสรณรงค์ว่า “รอ 10 เดือนให้ สว.พ้นๆ ไปก่อน แล้วโหวตใหม่ให้พิธาเป็นนายกฯ ให้ได้” แต่ก็มีคนโวยวายว่า รออีก 10 เดือนไม่ได้อดตายกันทั้งแผ่นดินพอดี ..ซึ่งเวลาฟังประโยคนี้ได้แต่อนิจจาเอ๋ย..ประเทศไทยอดอยากแร้นแค้นมาถึงวันที่เราจะอดตายกันทั้งแผ่นดินแล้วฤา คือมันเวอร์น่ารำคาญ

ในที่สุด พรรคก้าวไกลก็ต้องแถลงให้พรรคเพื่อไทยไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วก็เห็นกันเนาะว่า “เขาไปคุยกับใคร” ในที่สุดก็ได้เสียง สว.สนับสนุน ..แล้วทำไมตอนแรก สว.ไม่หนุนก้าวไกล ? เขาก็ให้เหตุผลวนในอ่างว่า เพราะเป็นพรรคที่จะไปแตะ ม.112 อะไรแนวๆ นี้ ..กลายเป็นประเด็นใหญ่ให้ด้อมส้มโมโหรุนแรงมาก และวลี “เพื่อไทยตระบัดสัตย์”ก็ฮิตขึ้นมาทันที จนวันนี้ก็ยังเอามาด่าได้ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรกับการเอาเรื่องฟื้นฝอยหาตะเข็บมาด่า ..ระดับสูงในพรรคเพื่อไทยก็ยังพูดว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้คือเดิมพันสูงที่สุด ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม สร้างผลงานให้ประชาชนยอมรับให้ได้ว่า “แก้จนได้จริง” เผื่อจะแลนด์สไลด์ได้ตามฝันเหมือนตอนรัฐบาลทักษิณ 2 เลือกตั้งคว้าไป 377 เก้าอี้ สส.

2.บุคคลแห่งปี บางคนอาจให้นายกฯ เสี่ยนิด เพราะเดินสายเจรจาทางการค้าจนกระทั่งมีแต่คนเฝ้าจับตาฟ้าสีทองผ่องอำไพปีมังกรว่าจะมีบริษัทระดับโลกอย่างเทสลา ไมโครซอฟต์ ฯลฯ มาลงทุนเพิ่มในไทย ( แต่มีกองเชียร์รัฐบาลเก่าบอกว่าอย่าเคลม บางอย่างเขาคุยกันตั้งแต่สมัยลุงตู่แล้ว ) บางคนให้นายพิธา ที่ลงพื้นที่สร้างคะแนนนิยมถี่ๆ มีกองเชียร์ตามอวยตลอด จนน่าสงสัยว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ ล้างผลพวงจากรัฐธรรมนูญเก่าคืนสิทธินักการเมือง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้าจะหาทางทวงพรรคคืนหรือไม่ ..อย่าว่าไป ทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้

บางคนแถวๆ นี้บอกอยากให้บุคคลแห่งปีกับคำผกา นางแบกชื่อดัง แต่คิดว่านางเป็นสื่อ ควรจะให้คนเป็นข่าวดีกว่า เลยตกที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้ประกาศวางมือทางการเมืองบ่อยที่สุดในโลก ประกาศจะกลับไทยก็บ่อย ตั้งแต่ตอนราวๆ ปี 52 จะขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ บอกประมาณว่าเสียงปืนแตกเมื่อไรจะกลับมานำทัพ..แล้วก็หาย พอมารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็บอกจะกลับบ้านอย่างเท่ๆ จนมาล่าสุด บอกพร้อมกลับบ้านมารับโทษตามกฎหมาย แบบแก่แล้วอยากกลับมาเลี้ยงหลาน

Thaksin Shinawatra smiled and makes a wai gesture on his return to Thailand. A police officer is behind him

ในที่สุด นายทักษิณก็ได้เมืองไทยสมใจ แต่อนิจจาเอ๋ย..อีก กลับมาได้คืนเดียวแน่นหน้าอกถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาลตำรวจด่วน ไม่รู้เป็นโรคปริศนาอะไรที่ระดับโรงพยาบาลราชทัณฑ์รับมือไม่ได้ คราวนี้คนขุดคดี “อากง”นายอำพล ตั้งนพกุล ที่โดนข้อหา ม.112 ขอไปรักษาตัวนอกเรือนจำดันไม่ได้รับอนุญาตจนตายคาคุก ..แล้วนี่..สมบัติกะอีแค่แน่นหน้าอกทำไมโรงพยาบาลราชทัณฑ์รับมือไม่ได้ ? อีกกรณีที่เขาจับตารอเปรียบเทียบอยู่คือนายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ข่าวว่าป่วยหนักอยู่ระหว่างถูกคุมขัง และขอใช้สิทธิ์รักษาโรงพยาบาลนอกบ้าง ..นี่ก็รอดูว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะยอมหรือไม่ ? ถ้าให้ทายคิดว่าหลายคนรู้คำตอบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนนายทักษิณเดินทางกลับไทย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็ออกมาพูดก่อนแล้วว่า “เขาเตรียมที่ให้นอนวีไอพีชั้น 14 รพ.ตำรวจไว้แล้ว” และก็ไม่เกินจริงตามนั้น เสียดายนายชูวิทย์ไปต่างประเทศเสียแล้วน่าไปสัมภาษณ์หน่อยว่าตอนนั้นรู้ได้อย่างไร ? ก็คงมีสายสนกลในอยู่ในวงการตำรวจแหละ เอาเป็นว่า นายทักษิณก็ไปนอนโรงพยาบาลตำรวจด่วน แล้วก็ไม่มีการแถลงอาการใดๆ ทั้งสิ้น บอกว่า “สิทธิ์ส่วนบุคคลของคนไข้” พอใกล้จะถึงช่วงต้องทบทวนการกลับไปพัก รพ.ราชทัณฑ์ ก็อยู่ๆ เดี๋ยวผ่าตัด เดี๋ยวเจาะไหล่ พอนักข่าวถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ่อป่วยเป็นอะไรลูกสาวก็ไม่รู้ .. แบบกองแช่งร้องว้า!! กันเป็นแถบ ไหนว่าครอบครัวรักกันมาก นี่คนสำคัญในครอบครัวป่วยอะไรก็ไม่รู้ เหมือนไม่สนใจ ไม่เห็นมีข่าวไปเยี่ยม

นายทักษิณได้รับการพระราชทานอภัยลดหย่อนโทษ สักพักก็จะอ้าง แก่ ป่วยเข้าเงื่อนไขพักโทษ แต่อยู่ๆ ก็มีระเบียบราชทัณฑ์ว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำออกมา เพื่อแก้ปัญหานักโทษล้นคุก ( ซึ่งมันก็ล้นจริงๆ โดยเฉพาะคดียาเสพติด ) แบบว่า นักโทษชั้นดีสามารถถูกส่งไปกักตัวที่บ้านได้ ราชทัณฑ์ติดตามอย่างไรก็ว่าไป บลาๆ  เพราะมันมีเหมือนต้นระเบียบแต่ตัววิธีบังคับใช้ คณะกรรมการวินิจฉัยนี่ ก็ต้องรอจัดการให้แล้วเสร็จน่าจะปีหน้า ..แล้วเรามารอดูกันว่า “ทักษิณจะได้ติดคุกจริงๆ สักวันหรือไม่” ..และอย่างที่บอก การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ระวังจะเกิดม็อบต้านความอยุติธรรม เลือกปฏิบัติกับนักโทษทางการเมืองเคลื่อนไหวขึ้นมาอีก ถ้าฝ่ายก้าวไกลลงมาเล่นด้วยระวังขยายใหญ่ เรื่องความอยุติธรรมนี่ปลุกกระแสให้ชนชั้นกลางเคลื่อนไหวได้ง่าย ก็อย่างม็อบ กปปส. ไง ..ออกมาต้านการนิรโทษกรรม ก็คือความอยุติธรรมที่บอกว่า “คนทำผิดไม่ต้องรับโทษ” มาทำอ้างนักโทษการเมืองแต่มีผลประโยชน์แอบแฝง

 มีคนแถวๆ นี้เหน็บมาว่าอยากรู้มากว่าป่วยเป็นอะไร ถึงขั้นวินิจฉัยไม่ได้ต้องผ่าต้องเจาะกันเรื่อยๆ ..แล้ว..คนจนมีสิทธิ์ไหมค้าบ.. แบบว่า ได้รับบริการดูแลสุขภาพครบวงจรเยี่ยงนี้ … ดังนั้น คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านายทักษิณ ชินวัตรอีกแล้ว ที่เป็นบุคคลแห่งปีแบบปริศนา คืออยู่เมืองนอกแข็งแรงดี มาเมืองไทยน็อคอากาศเจียนตาย

3.นโยบายแห่งปี บางคนก็ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หลายคนบอกน่าเบื่อ แก้ๆ กันเพื่อเอาใจนักการเมืองทั้งนั้นแหละ คอยดูสิ ไม่แก้เรื่องระบบเลือกตั้งก็แก้เรื่ององค์กรอิสระ ซึ่งต้องมีอะไรแนบแฝงมาให้นักการเมืองได้รับผลประโยชน์ ..แต่ก็ต้องยอมรับว่าควรแก้ในการคานอำนาจบางองค์กรไม่ให้มีสถานะเป็นซูเปอร์องค์กร คือใครตรวจสอบไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ ..อย่างไรก็ตาม เมื่อสรุปออกมาแล้ว นโยบายแห่งปีคือ “แจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท”

เป็นนโยบายที่เกิดวาทกรรมมากที่สุด ถ้าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้คนสนใจงานสภามากขึ้น เรื่องดิจิทัลวอลเลตนี่ก็น่าจะทำให้คนสนใจเศรษฐศาสตร์มากขึ้น เรื่องเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการบริโภคระยะสั้น มีคนเหน็บรัฐบาลว่าตกลงประเทศนี้วิกฤตหรือไม่วิกฤต ? ไปบอกนักลงทุนว่าเศรษฐกิจดีเหมาะลงทุน แต่มาบอกในประเทศว่าวิกฤตต้องแจกเงินกระตุ้นระยะสั้น ( มองโลกแง่ดีคงหมายถึงมันช่วยให้จีดีพีไตรมาสที่ใช้เงินดิจิทัลโตเร็วขึ้น )  ซึ่งเป็นนโยบายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบว่าคิดไปทำไป ..จากที่เคยหาเสียงไว้ว่าทำได้ทันที กลายเป็นมาเริ่มใหม่ด้วยที่มาของเงินมาจากไหน ?  เดิมจะใช้งบผูกพัน 4 ปี ก็เปลี่ยนเป็นออก พ.ร.บ.เงินกู้ ซึ่งไม่แคล้วถูกยื่นตีความถึงความจำเป็นเร่งด่วนแน่นอน จากที่เคยว่าให้คนอายุ 16 ปีทุกคน ก็ต้องมากำหนด “เส้นความยากจน”ใหม่ เป็นคนรายได้เดือนละห้าหมื่นไม่ได้ คนเงินฝากเกินห้าแสนไม่ได้  บอกจะพัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ก็ใช้เป๋าตัง ซึ่งก็ดีที่ไม่ต้องเสียค่าพัฒนาเยอะ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยู่ระหว่างกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า ออก พ.ร.บ.ได้หรือไม่ จากนั้นกระทรวงการคลังก็ไปยกร่าง คงต้องรออีกสักระยะ แต่เป็นนโยบายที่ถูกกล่าวขวัญถึงที่สุด ก็ใครไม่พูดล่ะอยู่ๆ ได้เงินหมื่นฟรีๆ  

มีบางคนฝากมาเรื่องนโยบายแห่งปีอีกอย่างคือเปิดสถานบริการถึงตีสี่ ..บอกว่าระวังจะเสรีกันสำลักความสุขจนล้นเหมือนกัญชา แบบหลังประกาศกฎกระทรวงไป ก็เริ่มมีภาพข่าวประเภทคนเมานอนข้างทาง เยาวชนหญิงนอนเมาข้างทางต้องให้กู้ภัยหามไปส่งกันแล้ว ถ้ามันชักจะมากขึ้นอาจก็ต้องกลับมาควบคุมกันใหม่ …และเขายังฝากมาด้วยว่า พนักงานทำงานหนักขึ้นก็ช่วยเพิ่มเงินเดือนอะไรด้วย  

4.อันนี้มีคนฝากเพิ่มมา คือ “คำแห่งปี” เขายกให้คำว่า “ชายแทร้” ไม่รู้อ่านอย่างไรเหมือนกัน แต่คนฝากบอกว่า เป็นการพูดถึงพฤติกรรมผู้ชายที่คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ดูเร้าเพศเสียเต็มประดา พอมีปัญหาก็ออกมาเบลมผู้หญิง และไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำต่อเพศตรงข้ามเป็นความยินยอมพร้อมใจเต็มร้อยหรือไม่ ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงได้ แบบว่า “คนเท่ากัน”  เรียกว่า เป็น “คำด่าอุบัติใหม่” คนฝากเขาบอกว่ามาจากการเมืองนั่นแหละ เป็นกรณีพฤติกรรม  สส. “ชายแทร้” ของพรรคก้าวไกลบางคน

นี่คือที่สุดแห่งปีบางส่วน ซึ่งก็ดูตลกร้ายอยู่พอสมควร

………………………………………….
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”