ความหวังของชาวอัฟกัน ที่เคยทำงานให้กองทัพสหรัฐ และกลุ่มประเทศพันธมิตร ในสังกัดองค์การนาโต ในอัฟกานิสถาน ในการสู้รบกับกองกำลังตาลีบัน ที่จะได้อพยพครอบครัว ไปตั้งรกรากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในอเมริกาหรือในยุโรป มีอันสลายลง เมื่อมีรายงานข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังดำเนินการเจรจา กับรัฐบาลของ 3 ประเทศแถบเอเชียกลาง เพื่อให้รับชาวอัฟกันเหล่านี้ เข้าไปอยู่อาศัย

จากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ 3 ประเทศที่ว่านี้ ประกอบด้วย คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ติดกันทางทิศเหนือของอัฟกานิสถาน

อเมริกาและยุโรป ถือเป็นดินแดนสวรรค์ จุดหมายอันดับ 1 ของผู้อพยพหรือลี้ภัย จากประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาทั่วโลก ที่ต้องการแสวงหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

การตัดสินใจอพยพชาวอัฟกันที่ตกอยู่ในความเสี่ยง ออกนอกประเทศ มีส่วนทำให้เกิดวิกฤติความมั่นคงระลอกใหม่ การสู้รบระหว่างกองกำลังความมั่นคงรัฐบาลอัฟกานิสถาน ที่รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุน กับกลุ่มตาลีบัน พุ่งสูงในระยะหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ (4 ก.ค.) นักรบตาลีบันบุกยึดเมืองสำคัญหลายเมือง ทางภาคเหนือของอัฟกานิสถาน ทำให้ทหารที่ประจำการในค่ายหลายแห่งในพื้นที่ แตกพ่ายหนีตายลงทางใต้

 ชาวอัฟกันนับหมื่นคน ที่ทำงานเป็นล่ามและงานอื่น ๆ ให้ทหารสหรัฐและทหารนาโต ในช่วงสงคราม 20 ปี กำลังถูกหมายหัวเอาชีวิต จากกลุ่มตาลีบัน ขณะที่กองทัพสหรัฐและนาโต ทยอยถอนกำลังทหารชุดสุดท้าย ออกไปจากอัฟกานิสถาน

 รัฐบาลสหรัฐประกาศแผน เมื่อสัปดาห์ก่อน จะหาที่ลี้ภัยให้ชาวอัฟกันหลายหมื่นคน ที่ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง ไปอยู่ในประเทศที่ปลอดภัย แต่ไม่ระบุว่าเป็นประเทศใด

นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดในเรื่องนี้ เพียงแต่กล่าวว่า เธอไม่อยู่ในสถานะที่จะเปิดเผยได้ ว่าประเทศใดที่จะส่งอดีตล่ามชาวอัฟกันและครอบครัวไปอยู่ และผู้ที่จะถูกอพยพมีจำนวนเท่าใด

แต่เธอบอกได้แค่ว่า ชาวอัฟกันเหล่านี้ต้องอพยพออกนอกอัฟกานิสถานทั้งหมด ก่อนกำหนดเส้นตาย กองทัพสหรัฐและนาโตถอนทหารออกพ้นดินแดนอัฟกานิสถาน ในวันที่ 11 ก.ย.ที่จะถึงนี้ หรืออีก 2 เดือนกว่า

ABC News

ก่อนหน้านี้ ไบเดนกล่าวว่า ชาวอัฟกันที่เคยช่วยเหลือกองทัพสหรัฐ ในสงครามอัฟกานิสถาน จะไม่ถูกทอดทิ้งให้เสี่ยงตายอยู่เบื้องหลัง และเมื่อวันพฤหัสบดี (1 ก.ค.) ที่ผ่านมา แกนนำรายหนึ่งของพรรครีพับลิกัน ฝ่ายค้านสหรัฐ เผยว่า แผนการอพยพไปอยู่ประเทศใหม่ จะเกี่ยวพันกับ ชาวอัฟกันและครอบครัว ทั้งหมดประมาณ 50,000 คน

กลุ่มคนเหล่านี้จะต้องผ่านกระบวนการ ยื่นขอวีซ่าผู้อพยพพิเศษ หรือ เอสไอวี (Special Immigrant Visa  : SIV) ของรัฐบาลสหรัฐ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยอพยพผู้ที่เคยช่วยเหลือกองทัพสหรัฐ ในสงครามอิรักและซีเรีย

รัฐบาลสหรัฐแก้ไขกฎระเบียบ เพื่อให้กระบวนการขอรับสถานะ เอสไอวี สำหรับชาวอัฟกัน สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้เสร็จทันก่อนถึงขีดเส้นตาย 11 ก.ย.

1 ก.ค.ที่ผ่านมา นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้พบปะหารือกับ รัฐมนตรีต่างประเทศของทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน แม้ประเด็นการหารือไม่เป็นที่เปิดเผย แต่สื่อมวลชนเชื่อว่า น่าจะมีการพูดคุยเรื่องแผนการอพยพชาวอัฟกันด้วย

 รัฐบาลสหรัฐชุดที่แล้ว ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บรรลุความตกลงกับกลุ่มตาลีบัน เมื่อปี 2563 ที่จะถอนกำลังทหารสหรัฐและทหารนาโต ออกพ้นดินแดนอัฟกานิสถาน ภายในไม่เกินวันที่ 11 ก.ย. 2564 เป็นอันปิดฉากสงครามสู้รบในต่างแดน 20 ปี ยืดเยื้อยาวนานที่สุด ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอเมริกา

ทรัมป์ตัดสินใจอนุมัติ แม้ว่าบรรดานายทหารระดับสูงของกองทัพสหรัฐจะแนะนำให้รอไว้ก่อน จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงระหว่างกลุ่มตาลีบัน กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอัชรัฟ กาห์นี

ระหว่างการพบปะที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไบเดนบอกกับกาห์นีว่า ชาวอัฟกันจะต้องตัดสินใจอนาคตของตนเอง ขณะที่กาห์นีตอบว่า หน้าที่ของเขาตอนนี้คือ จัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลังการถอนทหารของสหรัฐและนาโต.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : REUTERS