ประกบพระเอกคนไหนก็ฟินจิกหมอน จนทำให้นางเอกหน้าสวย เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล ได้รับฉายา “นางเอกเคมีสาธารณะ” ล่าสุดกับละครตลกร้ายเรื่อง “ต้นร้ายปลายรัก” ทางช่องวัน 31คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาด ชวนสาวเฟิร์นมานั่งพูดคุยถึงการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ และรีวิวชีวิตในวงการบันเทิงตลอด 6 ปีที่ผ่านมา กับกราฟที่มีขึ้นมีลง จนทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า ไม่ควรเอาไม้บรรทัดของคนอื่นมาวัดคุณค่า หรือความสำเร็จของตัวเอง

พูดถึงบทบาทของ “เฟิร์น” ในต้นร้ายปลายรัก?

“ผลงานที่ถ่ายทำมาเกือบปีได้ออนแอร์แล้ว เรื่องนี้เฟิร์นรับบทเป็น “รสนา” ค่ะ  ต้องปลอมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของ พี่ป้อง-ณวัฒน์ เพื่อเอามรดกแทน ตามบทรสนา ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 แล้วกำลังจะถูกเลย์ออฟ ที่บ้านก็มีปัญหาด้านการเงิน เราเลยต้องรับบท สู้เขาสิวะหญิง!  ต้องหาเงินรักษาแม่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของเรา เพราะไม่ชอบการโกหก แต่พอเข้าตาจนแล้วก็ต้องทำ เพราะต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วรสนา เขาไม่ใช่ผู้หญิงที่แข็งแกร่ง แต่มีความอ่อนแอ มีความซอฟต์เป็นตัวละครที่ออกแบบมาค่อนข้างไกลตัวเฟิร์นเหมือนกัน เลยค่อนข้างมีความท้าทายเหมือนเราดูซีรีส์บางเรื่อง ที่คอยเอาใจช่วยตัวร้าย รู้ว่าเขาทำไม่ดี แต่ก็อยากเอาใจช่วยให้เขารอดไปได้”

ร่วมงานกับพี่ป้อง-ณวัฒน์ เป็นยังไงบ้าง?

“สนุก เพลิดเพลิน (ยิ้ม) ตรงข้ามกับตอนแรกที่เราคิดไว้ว่าพี่ป้อง คงนิ่ง ๆ  เงียบ ๆ  ด้วยอายุที่เราห่างกันประมาณหนึ่ง ก็กลัวว่าจะมีกำแพงด้านวัย จะคุยกันคนละภาษา กลัวว่าจะเข้าหาพี่เขาไม่ถูก เราจะปรึกษาพี่เขาได้ไหม แต่พอได้ทำงานด้วยกันจริง ๆ พี่เขาเป็นคนขี้เล่นมาก ตลกมาก ที่สำคัญพี่เขาเป็นคนอบอุ่นมาก ๆ  หลายคนจะมองว่าพี่ป้องเจ้าชู้ แต่จริง ๆ เขาเป็นคนน่ารักค่ะ คอยเทคแคร์ทุกคน รวมไปถึงพี่ ๆ ทีมงานเบื้องหลัง เขาเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่น อย่างเวลาเราทำงานต้องการคำปรึกษา หรือต้องการคำตอบ เขาก็มีสิ่งนั้นให้เราเสมอ และคอยสร้างความมั่นใจให้กับเฟิร์นด้วย ให้เฟิร์นเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะก่อนที่เฟิร์นจะมารับบทเรื่องนี้ เราก็คิดว่าเราอาจจะไม่ดีพอหรือเปล่าที่จะรับบทนี้”

ชื่อเรื่อง ต้นร้ายปลายรัก แสดงว่าตอนท้ายจบแบบแฮปปี้แน่เลย?

“ต้องบอกว่าการหาทางลงให้กับตัวละครในเรื่องนี้ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะรสนาไม่ได้แค่เข้าไปหลอกพระเอก แต่หลอกทั้งบ้าน การที่เราโกหกคนอื่น ทางลงของตัวละครต้องเจ็บปวดอยู่แล้ว ก็ต้องดูว่าจะแลนดิ้งลงแบบไหน แต่ก็เป็นละครที่มีความชุ่มฉ่ำหัวใจ ดูแล้วฟีลกู๊ด ดูแล้วไม่เครียด เพราะตอนนี้ ข่าวสารบ้านเมืองเราก็เครียดแล้ว ต้นร้ายปลายรัก ก็น่าจะเป็นละครที่สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนได้อย่างแน่นอน”

ตัวตนจริง ๆ ของเฟิร์น-นพจิรา?

“ภาพรวมของเราไม่ใช่คนอ่อนหวาน หรือ ตะมุตะมิ เราจะเป็นคนชัดเจน ตรง ๆ  ห้าว ๆ หน่อย ก็เลยค่อนข้างตรงข้ามกับตัวละครตัวนี้ เราก็พยายามทำตัวละครออกมาให้กลมกล่อม และให้เราเชื่อมากที่สุดในการสวมบทบาทลงไป เพราะเราก็อยากให้คนดูเห็นถึงความแตกต่างจากเรื่องที่ผ่านมา เพราะคนจะติดภาพเราจากนางเอกสายดราม่า ตอนมาเริ่มโปรเจกต์นี้ก็เลยยากมากจริง ๆ กว่าจะหาคาแรกเตอร์เจอก็เสียน้ำตาอยู่เหมือนกัน”

ฉายานางเอกเคมีสาธารณะ?

คงต้องขอบคุณคนดูที่ชื่นชอบในการแสดงของเราด้วย จริง ๆ จะบอกว่าเฟิร์นเป็นนางเอกเคมีสาธารณะอย่างเดียวไม่ได้ แต่เฟิร์นโชคดีด้วยที่เราเจอคู่แสดงที่พร้อมจะไปด้วยกันเต็มที่ เจอเพื่อนร่วมงานดี ๆ ที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ก็ดีใจมาก ๆ เลยค่ะ”

เผลอแป๊บเดียวอยู่วงการมา 6 ปีแล้ว?

“ต้องพูดจริง ๆ ว่าเวลาผ่านไปไวมาก และเรายังสนุกกับการอยู่บนเส้นทางนี้ แต่ละปีก็เติบโตในแบบของมัน แต่ก็ยากขึ้นในทุก ๆ ปี เป็นเรื่องธรรมดาของทุกอาชีพ ที่พอทำงานไปหลาย ๆ ปีก็อาจจะมีจุดที่เราไม่ได้แอคทีฟมาก มีบางปีที่กราฟพุ่งมาก จุดที่ลงมา จุดที่เสถียร เฟิร์นว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการค้นหาตัวเองเหมือนกัน แล้วในแต่ละปี วุฒิภาวะเราก็ต่างไปทุกปี ให้เฟิร์นได้เรียนรู้ หาวิธีเข้าใจตัวเองมากขึ้น มีจุดที่ท้อ และตั้งคำถามในตัวเองว่า เรามีคุณค่าพอที่จะอยู่ตรงนี้หรือเปล่า สิ่งที่เราอยากจะทำต่อไปคืออะไร เป็นคำถามที่เราต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่ตลอด ไม่ให้หลงลืมว่าเป้าหมายของเราคืออะไร และปีนี้ก็ยังเป็นปีที่ดีของเฟิร์น ที่ยังมีโอกาสได้เจอคนดี ๆ ได้ทำงานโปรเจกต์ที่ดี และพบเจอโอกาสที่ดี และได้แตกแขนงไปลองทำสิ่งใหม่ ๆ อย่างการ เป็นดีเจ ซึ่งหลังจากนี้ก็อาจจะมีโอกาสใหม่ ๆ รอเราอยู่”

จากช่วงที่เราเคยพุ่ง พอกราฟตกเรามีความรู้สึกนอยด์มั้ย?

“ไม่ค่ะ เพราะตอนนั้นเราใหม่มาก จนไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวหรือรับมือยังไง ไม่มีใครบอกฮาวทู เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเราก็ไม่ได้คาดคิด ทุกครั้งที่เราทำงานก็อยากให้เสียงตอบรับดีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะเราไม่เคยสัมผัสมาก่อน หรือแม้แต่ตอนที่เราเบาลง เราเหมือนเด็กมือใหม่ที่ต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในเส้นทางนี้ แต่เฟิร์นว่าตัวเองได้มาตระหนักจริง ๆ หลังจากนั้นมากกว่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราที่ผ่านมา แต่ก็พบว่าเราไม่มีคำว่าเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา มีแต่คำว่าเรียนรู้และเข้าใจ วัฏจักรของวงการบันเทิงว่าเป็นยังไงมากกว่า”

รู้มาว่าเฟิร์นไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านการแสดงมาเลย?

“ใช่ค่ะ เฟิร์นเรียนวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา คิดว่าจบมาคงทำงานเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่พอได้ฝึกงานก็รู้ว่าไม่ใช่แนวการทำงานที่ชอบ แต่เราก็ไม่อยากกลับไปทำงานที่บ้าน อยากมีทางเดินเป็นของตัวเอง เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเราตั้งแต่เด็กแล้ว ว่าเราอยากขีดด้วยตัวเองว่าเราอยากจะทำอะไร แล้วก็จับพลัดจับผลูได้มาลองงานด้านการแสดง และเห็นว่าสิ่งนี้น่าสนใจ ก็เลยทำมาถึงตอนนี้ รู้สึกว่ายังมีอะไรให้เราได้ลองทำอีกเยอะบนเส้นทางนี้ ก็ขอให้ตัวเองได้พบเจอโอกาสที่ดี ๆ อีกบ่อย ๆ”

อาชีพใหม่ กับการเป็นดีเจที่ Flex 104.5 ได้ลองทำแล้วเป็นยังไงบ้าง?

“สนุกค่ะ เป็นงานที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ว่าเราอยากเป็นดีเจวิทยุ แล้วเราโตมากับยุค Y2K โตมากับคลื่นวิทยุใหญ่ ๆ  ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อวงการเพลง และวัยรุ่นด้วย วันหนึ่งพอได้มาทำก็เหมือนสานฝัน ได้เติมเต็มภาพในวัยเด็กให้เป็นจริง เป็นงานที่เฟิร์นได้ฝึกใช้ทักษะการพูดเยอะมาก รู้สึกได้เลยว่าจังหวะการพูดของตัวเองตอนนี้แอบเปลี่ยนไป ทุกวันนี้เราก็มีโจทย์ให้คิดว่าเราอยากจะเป็นดีเจแบบไหน เราอาจจะไม่มีช่วงทอล์กเยอะ แต่ก็อยากให้ช่วงเวลาสั้น ๆ ของเราเกิดประโยชน์ที่สุดกับคุณผู้ฟัง”

มีงานอะไรที่อยากลองทำอีกไหม?

“อยากลองงานแสดงในพาร์ตของภาพยนตร์บ้าง หรือเป็นงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ละครอย่างเดียว เพราะเดี๋ยวนี้แพลตฟอร์มออนไลน์ก็ค่อนข้างกว้างพอสมควร ก็หวังว่าจะมีโปรเจกต์ดี ๆ ให้เราได้ลองทำ”

เพิ่งผ่านวันเกิดมาไม่กี่เดือน เป็นยังไงบ้าง?

“เติบโตแบบเริ่ด สดใส (หัวเราะ)  เรารู้สึกว่ายิ่งอายุมากขึ้น เรายิ่งทำตัวเป็นเด็ก ไม่อยากแก่  สะเทือนใจเวลาเดินเข้าตึกแกรมมี่ แล้วมีน้อง ๆ ยกมือไหว้ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าเวลาผ่านไปไว อยากจะทำอะไรก็รีบทำ ก็เป็นคอนเซปต์เดิม ๆ ของเฟิร์น แต่เฟิร์นว่ายิ่งเราโตขึ้น ก็ยิ่งสนุกกับการได้ใช้ชีวิต ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ทั้งดีและไม่ดี แล้วก็อยากเก็บความเป็นเด็กในใจไปเรื่อย ๆ อยากจะรู้สึกแอคทีฟ  ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองแก่ แล้ววันเกิดที่ผ่านมา เราก็มีโอกาสได้จัดแฟนมีตติ้งกับแฟน ๆ ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ที่เราได้มาใช้เวลาดี ๆ ร่วมกับแฟนคลับ เรารู้สึกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาทองคำของเรา เรามีชีวิตช่วงนี้แค่ครั้งเดียว เป็นปีที่ต่อสู้กับจิตใจตัวเองค่อนข้างเยอะ ว่าเรามีค่าพอกับความรักที่แฟนคลับให้เรามาหรือเปล่า เราหลงทางด้านความรู้สึกไปแป๊บนึง กับดักความสำเร็จของคนอื่นทำให้เราเขวได้เหมือนกัน แต่เราไม่จำเป็นต้องเอามาตรฐานหรือไม้บรรทัดของคนอื่น มาวัดความสำเร็จในตัวเรา เพราะแต่ละคนมีการเดินทางที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นเราควรใจเย็นกับตัวเองนิดหนึ่ง พอใช้เวลาเข้าใจกับตัวเองมากขึ้นก็แฮปปี้ (ยิ้ม) ถึงแม้เวลานอนดึกแล้วร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย เป็นวัยรุ่นปวดหลัง (หัวเราะ)”

เรื่องงานเริ่ดแล้วเรื่องความรักล่ะ?

“โอเคค่ะ ถือว่าดี เฟิร์นว่าความรักไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำให้เรามีปัญหา พอเราสบายตัว สบายใจ มันก็จะเริ่ด (หัวเราะ) เฟิร์นว่าพอเราใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องมานั่งกังวล หรือปวดหัว ควรเป็นเรื่องที่ผลักดันเราไปสู่สิ่งดี ๆ  ความรักสำหรับเฟิร์นเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง เรื่องความรักเลยเป็นส่วนที่ช่วยซัพพอร์ตให้ชีวิตของเรามันเริ่ด เฟิร์นอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสได้เจอความรักที่ดีกับตัวเอง พอเราคุยเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงข่าวที่เราเห็นที่ผ่านมา ที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนเจอความรักที่เป็นพิษแต่ออกมาไม่ได้  บางคนอาจจะเอาไม้บรรทัดตัวเองไปตัดสินเขาว่าถ้าเป็นฉัน ฉันคงออกมาง่ายมาก แต่เราไม่รู้เลยว่าคน ๆ นึงผ่านอะไรมาบ้าง เขาอาจจะไม่เคยเจอความรักดี ๆ เลยสักครั้งเลยก็ได้ เราเลยคิดว่าการที่เราได้เจอความรักที่ดี ที่ซัพพอร์ตเรา ช่วยเยียวยาเราในวันที่เราอ่อนแอ เราท้อแท้ เป็นเรื่องที่ดี และเราทุกคนก็ควรได้รับความรักที่ดี กับคนที่มีความรักที่ดีต่อกัน”

สุดท้ายเฟิร์นอยากฝากอะไรถึงแฟนคลับที่ติดตามกันมาตลอด?

“ก็อยากจะขอบคุณค่ะ ทุก ๆ ปีทำให้เฟิร์นได้เรียนรู้ถึงคำว่าขอบคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ ขอบคุณการมีอยู่ของพวกเขา การมอบความรักของทุก ๆ คน ที่คอยเป็นกำลังใจให้เฟิร์นได้เสมอ สิ่งหนึ่งที่ช่วยตอบคำถามเฟิร์นในช่วงที่สับสน หรืออ่อนล้า และกลับมายืนได้อีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะแฟนคลับ ที่ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนที่เป็นแรงใจที่ซัพพอร์ตเราเสมอ เราไม่อยากให้แรงใจของพวกเขาเสียเปล่า ก็อยากบอกว่า…รักค่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่น และอยากให้เขารู้ว่าทุกอย่างที่เขาทำมีค่าและมีความหมาย แล้วก็อยากให้เขาดูแลตัวเองกันเยอะ ๆ เหมือนกับที่คอยเป็นห่วงเราด้วยค่ะ”.