คาดการณ์กันว่า…วันที่ 20 พ.ย.นี้ ครม.“บิ๊กตู่” จะเคาะ “ของขวัญปีใหม่” ให้กับประชาชนคนไทย ได้สำเริงสำราญใจในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของมวลมนุษยชาติ

ส่วนจะโดนใจ…จะตรงใจ…กันมากน้อยเพียงใด คงต้องอดใจรอดูกันต่อไป โดยเฉพาะโครงการ “ชอปดีมีคืน” ที่ว่ากันว่าบรรดาผู้มีกำลังจำนวนไม่น้อย!! กำลัง “รอ” แบบใจจดใจจ่อ

Free photo female friends out shopping together

แต่ที่แน่ ๆ บรรดาชาวบ้านชาวช่องจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่กันไปแล้ว คือ…ค่าไฟฟ้า ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ได้มีมติให้เรียกเก็บค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยงวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย.66) ในอัตราเดิม ที่หน่วยละ 4.72 บาท

นั่นหมายความว่า…ใครก็ตาม? ที่จดทะเบียนกับการไฟฟ้าทั้งนครหลวงและภูมิภาค ในประเภท “ที่อยู่อาศัย” ก็ยังคงควักกระเป๋าจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิม

เตือนคนไทยค่าไฟแพงยันปีหน้า ย้ำทุกคนต้องช่วยกันประหยัด | เดลินิวส์

ส่วนประเภทนอกเหนือจากนี้ หรือภาคเอกชน จะเรียกเก็บเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 21% หรือหน่วยละ 5.69% ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพราะต้นทุนเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติมีราคาแพงขึ้นมาก

พูดง่าย ๆ ค่าไฟงวดใหม่ กกพ.ได้ตัดสินใจแล้ว ที่จะขึ้นค่าไฟภาคเอกชน ทุกประเภท ทุกขนาดไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือภาคอุตสาหกรรม และอีกสารพัด

หลักคิดของกกพ.ครั้งนี้ ก็คือต้องการจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกกว่าแหล่งอื่นให้กับบ้านที่อยู่อาศัยก่อน เพราะจำนวนก๊าซฯ ที่มีอยู่ มีไม่เพียงพอกับคนไทยทั้งประเทศ

ในยามที่ราคาพลังงานยังอยู่ในช่วงวิกฤติ การทำให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ก็ต้องเลือกบ้านที่อยู่อาศัยมาก่อน เป็นอันดับแรก ส่วนกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย ตามที่รัฐบาลเคยช่วยเหลือเคยดูแลกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยจะมีอะไรออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ก็ต้องรอให้รัฐบาลประกาศให้ชัด ๆ อีกรอบ

Sun setting behind the silhouette of electricity pylons

แต่!! หลักคิดของกกพ.ครั้งนี้ ได้ส่งผลให้บรรดาภาคเอกชน ออกมาเรียกร้องอย่างหนัก เพราะเป็นการซ้ำเติมภาระของผู้ประกอบการ แถมเลยเถิดไปจนถึงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

เพราะ…ในเมื่อภาครัฐส่งต้นทุนเพิ่มขึ้นมาให้ คงไม่มีภาคเอชนรายใดที่จะยอมรับ!! หรือแบกรับภาระ!! ไว้เอง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นก็ต้องผ่องถ่ายไปยังประชาชนอยู่ดี

ภาคเอกชนระบุชัดเจนว่า… ต้นทุนค่าไฟที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้จะส่งผ่านไปยังราคาสินค้าที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5-12%!!

ที่สำคัญ ในเวลานี้ เพื่อนบ้านของไทย อย่างเวียดนาม ได้ประกาศชัดเจนว่าจะตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่หน่วยละ 2.88 บาท แถมบรรดาพรรคการเมืองยังขย่มคะแนนเสียงด้วยการขึ้นค่าแรงอีก 600 บาท

แค่เพียงต้นทุนค่าไฟกับค่าแรง ที่พุ่งทะยานเช่นนี้ นักลงทุนที่ไหนก็หนีเตลิดเปิดเปิงไปแน่นอน !!

นอกจากนี้ยังมีอีก 4 เหตุผลใหญ่ ที่ภาคเอกชนรับต้นทุนค่าไฟเพิ่มไม่ไหว คือ… ก่อนหน้านี้ค่าไฟปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว จากงวดต้นปี 64 มาถึงงวดใหม่ต้นปี 66 หากเก็บค่าไฟ ตามที่ กกพ.กำหนด ก็เท่ากับว่าค่าไฟเพิ่มขึ้นถึง 70 % จากราว ๆ หน่วยละ 3 บาท เป็น5.69 บาท

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้กกพ.ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าค่าไฟฟ้าน่าจะลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 66 จากการผลิตก๊าซในอ่าวไทยได้มากขึ้นรวมทั้งราคาของก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจี น่าจะลดลงสู่ระดับปกติได้ ก็น่าจะชะลอการขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรหรือเอฟทีไว้ก่อน

อีก 2 เหตุผลสำคัญ…ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับแนวทางบริหารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งเรื่องของการบริหารต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ที่มีอีกหลายแนวทางให้เลือกดำเนินการ โดยไม่ต้องผลักภาระมาให้คนไทย ทั้งเรื่องของการเพิ่มเพดานเงินกู้ การชะลอการนำส่งรายได้เข้ารัฐ

Young girl covering face with hand in light gray t-shirt and dark grey zip-front hoodie and looking stressed.

เช่นเดียวกับ เรื่องของค่าใช่จ่ายอย่างเรื่อง ค่าความพร้อมจ่ายหรือค่าเอพี ที่ต้องจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน หากชะลอ หรือตัดทอนไปเลย ก็เท่ากับว่าช่วยลดต้นทุนได้ไม่น้อยทีเดียว

แต่เสียงเรียกร้องของเอกชนครั้งนี้ จะเสียงดังไปยัง บิ๊กตู่ได้มากน้อยแค่ไหน การตั้งคณะทำงานร่วมทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ทันก่อนค่าไฟงวดใหม่มีผลบังคับใช้หรือไม่?

ทั้งหลายทั้งปวง…ก็ต้องตามติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะสุดท้ายแล้วอย่าลืมว่า…ประชาชนผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ต้องเป็นผู้แบกรับภาระหมดอยู่ดี!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”