ค่ำคืนวันอาทิตย์นี้ที่แอนฟิลด์ น่าจะเป็นอีกหนึ่งเกมสำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้ ของพลพรรค “หงส์แดง” แม้พรีเมียร์ลีกเพิ่งผ่านมาแค่ 8 นัด

เพราะการออกสตาร์ตอย่างย่ำแย่ มีแค่ 10 แต้ม (เสมอ 4 แพ้ 2) จาก 8 นัด ซึ่งเป็นสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบสิบปีนับแต่ฤดูกาล 2012-13 ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เหล่า “เดอะ ค็อป” และ เจอร์เกน คลอปป์ กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด

ความพ่ายแพ้ล่าสุดต่อ อาร์เซนอล ยังคงช้ำอยู่ในอก ท่ามกลางข้อกังขาสารพัด ทำไม กาเบรียล มากัลเญส แฮนด์บอลไม่เป็นจุดโทษ? ทำไมกล้องถึงไม่สามารถเช็กล้ำหน้าของบูกาโย ซากา? ทำไมกาเบรียล มาร์ติเนลลีถึงไม่โดนใบแดง? ทำไมกรรมการให้จุดโทษง่ายไปหรือไม่? ทำไมๆๆ อีกมาก

แต่ในความเป็นจริงพวกเขาต้องเดินหน้าต่อไป และแสดงให้เห็นด้วยการยำใหญ่กลาสโกว์ เรนเจอร์ 7-1 เมื่อกลางสัปดาห์ เหมือนฟอร์มจะคืนมาแล้วแต่ติดที่ว่าด่านต่อไปของ ลิเวอร์พูล แข็งโป๊กสุดๆ นั่นคือเจ้าของแชมป์เก่า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี

ที่บอกว่านี่คือเกมที่น่าจะสำคัญที่สุด เพราะผมเชื่อว่ามันคือเกม 3 แต้มแบบไปกลับที่มีผลทั้งตารางคะแนนและเชิงจิตวิทยาที่สูงลิบ
กรณีแรกหาก ลิเวอร์พูล ชนะ มันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้พวกเขากลับมามั่นใจอีกครั้ง และจากที่ออกตัวว่าหมดลุ้นแชมป์ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงมันยังเหลือเกมอีกตั้ง 29 นัด ไม่มีใครกล้าพูดหรอกว่าแชมป์มันตัดสินในเดือนตุลาคม ขณะที่ แมนฯ ซิตี ซึ่งเป็นทีมเดียวที่ไม่รู้จักคำว่าแพ้และใครๆ ยกว่าเก่งนักหนา ก็จะแสดงให้เห็นว่าแพ้เป็นเหมือนทีมอื่น

กรณีสองหาก แมนฯ ซิตี ชนะ มันจะยิ่งสร้างความลำพองแก่พวกเขาในการป้องกันแชมป์ กลับกันฝั่ง ลิเวอร์พูล จะยิ่งอาการน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีกกับสถานการณ์ที่จะโดน แมนฯ ซิตี ทิ้งห่าง 16 แต้ม ทั้งที่เพิ่งผ่านไปแค่ 1 ใน 4 ของฤดูกาล

กรณีสุดท้ายถ้าเสมอ แมนฯ ซิตี ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะไม่ว่าทีมใดที่บุกมาควักแต้มถึงแอนฟิลด์ย่อมไม่ใช่ผลงานเลวร้าย แต่คงไม่ดีพอสำหรับเจ้าถิ่น

แต่มาลองเดากันเล่นๆ ผมว่าปีนี้ฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ค่อนข้างตกลงไปมาก โดยเฉพาะเกมรับหลวมง่าย ไหนจะปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บอีกพอสมควร ดังนั้นถ้าไม่มีปัจจัยเรื่องกรรมการเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป ความปราชัยเกมลีกคาบ้านเป็นหนแรกนับแต่เดือนมีนาคม ปี 2021 หรือกว่า 19 เดือน คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้.