สงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมคนที่ “สด” ไม่ใช้ “ถุงยางอนามัย” จึงเสี่ยงติด HIV?!? แต่ละครั้งที่มีเซ็กส์แบบสดไม่ป้องกัน เราเสี่ยงแค่ไหนที่จะติดเชื้อ HIV เป็นโรคเอดส์

อายุรแพทย์ เจ้าของเพจ @Spartan doctor ได้ให้ความรู้ว่า “คุณอาจติด HIV จากการมั่วคู่นอนตั้งแต่ครั้งที่ 100 ครั้งที่ 10 หรือครั้งแรกเลยก็ได้” ให้นึกภาพสมมติว่าทุกวันมีแก้วน้ำมาวางไว้ตรงหน้า โดยหนึ่งในนั้นมียาพิษที่กินแล้วตายทันที 1 แก้ว แล้วคุณต้องเลือกกินวันละ 1 แก้ว คุณจะกล้าหรือไม่???

เปรียบกับการมีเซ็กส์ เสี่ยงทุกวันเช่นกัน วันนี้รอด พรุ่งนี้รอด มะรืนนี้อาจเจอแจ็คพอตติดเชื้อไม่รอดก็ได้!!!

ทุกคนที่มีชีวิตที่โลดโผน ทราบความเสี่ยงนี้ อย่าคิดว่า “ฉันไม่ซวยติดหรอก” ใครที่คิดจะสดกันเพียงชั่วข้ามคืน ท่องไว้เลยว่า…โอกาสติดเชื้อเกิดได้ทุกครั้งที่ไม่ป้องกัน ขึ้นอยู่กับว่าวันดีคืนร้ายจะติดเชื้อมา แล้วคุณทราบกันหรือไม่? สารหล่อลื่นชนิดใดห้ามใช้กับถุงยางอนามัย

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลเรื่องนี้ว่า โดยทั่วไปถุงยางอนามัยจะมีการเติมสารหล่อลื่นอยู่แล้ว เป็นสารหล่อลื่นที่ละลายในน้ำ ไม่ทำลายคุณภาพเนื้อยาง ส่วนมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้มีปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยอยู่ในช่วง 400-600 มก.

โดยปัญหาที่พบบ่อยของการใช้ถุงยาง คือ เวลารับแจกถุงยางอนามัยมาแล้วก็จะไม่ซื้อเจล หรือซื้อถุงยางอนามัย แต่ไม่ซื้อสารหล่อลื่น สิ่งที่อยากเตือนคือ “อย่าใช้อะไรที่อยู่ข้างเตียง” เพราะไม่ควร “ถุงอาจแตก ยืด หรือหลุดได้”

ถุงยางอนามัยจะป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้ 80% ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีเชื้อในหญิงและชาย แต่ถ้าชายกับชายแม้จะใช้ทุกครั้ง ก็ป้องกันได้แค่ 70% เพราะโอกาสการพลาดของถุงยางอนามัยมันมีสูง สมมติถ้าถุงยางแตก 1 ครั้ง ความเสี่ยงชายกับชายก็มากว่าอยู่แล้ว เพราะว่าช่องทางการมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน ผิวหนังที่อยู่บริเวณช่องคลอดเมื่อเทียบกับผิวหนังที่ทวารหนักมันคนละเรื่องเลย เพราะว่าไม่ได้ออกแบบมาให้ได้รับการเสียดสีที่รุนแรง

ซึ่งการใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของ “น้ำมันพืช” หรือ “น้ำมันแร่” เช่น เบบี้ออยล์, น้ำมันทาผิว, ปิโตรเลียม เจลลี่, น้ำมันปรุงอาหาร และน้ำมันชนิดอื่นๆ จะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ แตกง่าย ป้องกันหรือคุมกำเนิดไม่ได้

“ห้ามใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมันทาเพิ่มกับถุงยางอนามัย เพราะถุงยางอนามัยจะเสื่อมสภาพ โดยน้ำมันพืชทำให้เสื่อมสภาพสูงสุด รองมาได้แก่ เบบี้ออยล์, ปิโตรเลียม เจลลี่ และบอดี้ โลชั่น ดังนั้นควรใช้สารหล่อลื่นประเภทละลายในน้ำ ได้แก่ เค-วาย เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ เพราะไม่มีผลทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อม ไม่ทำลายยางธรรมชาติ”

นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้ข้อมูลเสริมว่า สถานการณ์ในประเทศไทยพบว่ามีข่าวดี ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ปี 59 เหลือแค่ 6,304 คน แต่ข่าวร้ายคือผลกระทบยังสูง โดยเฉลี่ย 1 ชม.มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 คน เสียชีวิต 2 คน และเสียชีวิตปีละ 1.5 หมื่นคน

“ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นชายกับชายร้อยละ 53 ส่วนคู่สามี-ภรรยาที่คนหนึ่งติดเชื้อและแพร่เชื้อสู่คู่ของตนเกือบร้อยละ 30 และกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศ ซึ่งอดีตเป็นกลุ่มที่มีปัญหามาก แต่ตอนนี้มีไม่ถึงร้อยละ 10 อีกร้อยละ 5 ใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันเสี่ยงกว่าคนทั่วไป 5 เท่า จึงมีเป้าหมายลดการติดเชื้อรายใหม่ไม่เกิน 1 พันคน/ปีภายในปี 79”

ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เป็น 1 ใน 4 นักวิจัยจากทั่วโลก ที่ได้รับการยกย่องจากสมาคมโรคเอดส์นานาชาติ บอกว่า ชายกับชายเสี่ยงติดโรคเอดส์มากที่สุด โดยสาเหตุอาจมาจากมีคู่นอนมากกว่า 1 คน วิถีการมีเพศสัมพันธ์อาจฉีกขาดของเนื้อเยื้อ มันก็ติดง่ายหน่อย หรือการใช้สารกระตุ้นอารมณ์ อาจทำให้มีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นโดยไม่ได้ป้องกันมากขึ้น

ขณะที่เพศหญิงกับเพศชาย ไม่เพิ่มขึ้นมีแต่ลดน้อยลง ส่วนหญิงกับหญิงไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีการสอดใส่ ยกเว้นอุปกรณ์อื่นใดถ้าไม่มีเชื้อติดอยู่ “ก็ไม่เป็น” โดยกลุ่มที่มีความชุกสูงสุด คือ กลุ่มที่ติดยาเสพติดด้วยการฉีด ประมาณ 30-35% ส่วนความชุกกลุ่มชายรักชาย ประมาณ 6-7% และความชุกชายหญิงทั่วไปน้อยกว่า 1%

“ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทย ติดปีละ 7 พันคน ร้อยละ 50 เป็นกลุ่มชายรักชาย ร้อยละ 10 เป็นกลุ่มใช้ยาเสพติด ร้อยละ 10 เป็นกลุ่มที่มีอาชีพบริการทางเพศกับลูกค้าที่ไปใช้หญิงหรือชายบริการ และอีกร้อยละ 30 เกิดขึ้นในชายหญิงทั่วไป ที่อีกฝ่ายติด อีกฝ่ายไม่ติด ซึ่งเมื่อเทียบกับ 15 ปีก่อน ถือว่าน้อยมากที่ติดใหม่ปีละ 1 แสนถึง 1.5 แสนคน”

แล้วนอนกี่ครั้งถึงจะติดเอดส์??? ครั้งเดียวก็สามารถติดได้ ซึ่งค่าเฉลี่ยนต่างๆ ที่ออกมา ไทยเราตั้งเป้าไว้ว่าจะลดปริมาณผู้ติดเชื้อลงให้ได้น้อยกว่า 1 พันคน/ปี หรือที่เรียกว่า “ยุติเอดส์” เราจะต้องทำให้ได้

สำหรับมาตรการนั้น ทุกคนควรจะตรวจเอดส์อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต ถ้าเสี่ยงตรวจปีละ 2 ครั้ง มากกว่านี้ก็จะต้องเสียเงินเอง รัฐบาลให้ตรวจฟรีปีละ 2 ครั้ง โดยเมื่อตรวจเจอให้รีบกินยาต้านไวรัสทันที ซึ่งเป็นยาให้ฟรีจากรัฐบาลไทย ไม่ต้องรอให้ป่วยหรือภูมิต่ำ ตรวจเจอวันนี้กินวันนี้เลย (Same day)

สิ่งที่ได้ผลกว่าการใช้ถุงยางอนามัย หรือวัคซีนเอดส์ คือการกินยาต้านไวรัส Pre-Exposure Prophylaxis หรือ “PrEP” เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คู่นอนได้ถึงร้อยละ 96 ซึ่งมากกว่าวัคซีนเอดส์ที่ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ร้อยละ 31 หรือถุงยางอนามัยร้อยละ 80 ฉะนั้นการรักษาผู้ติดเชื้อเอดส์ จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดในขณะนี้

ควรพยายามบอกให้ทราบว่าใครที่ติดเชื้อ จะต้องทานยา แล้วตัวเลขคนไข้จะลดลงได้ อย่างไรก็ตามยาต้านไวรัสดังกล่าว ยังสามารถใช้กับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ชายรักชาย หรือผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยติดตามผลในระยะยาว 1-2 ปี พบว่าป้องกันได้ 92-96% ซึ่งเป็นการให้ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเชื้อ และเป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ที่ดีที่สุด โดยทานทุกวันตราบเท่าที่มีความเสี่ยง กระทั่งเมื่อมีคู่แน่นอนตายตัว หรือไม่ยุ่งกับใคร ก็ไม่ต้องทาน

คนที่กินยาต้านไวรัสนาน 6 เดือน 95% จะไม่มีเชื้ออยู่ในน้ำคัดหลั่งในเลือด ที่พอจะทำให้คนอื่นติดเชื้อได้ และกว่า 95% ที่กินยาต้านไวรัสไปแล้วเกิน 6 เดือน จะไม่มีเชื้อเหลืออยู่ในน้ำคัดหลั่ง หรือเหลืออยู่ในเลือดมากพอที่จะทำให้คนอื่นติดเชื้อจากเขาได้

ทีนี้ก็เหลืออีก 5% ที่จะแพร่เชื้อได้ ฉะนั้นคุณคิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จะน้อยลงไหม? มีคนพยากรณ์ไว้ว่า ถ้าประเทศไหนทำได้แบบนี้ ภายใน 10 ปีประเทศนั้นจะไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพราะการติดเชื้อจะติดมาจากคนที่ไม่ได้รักษา แต่อีกประเด็นหนึ่ง คือ “ความอาย” กลัวจะถูกคนตีตรา กลัวจะถูกคนรังเกลียด ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้คนมองว่าการไปตรวจเอดส์ ไม่ใช่คนไม่ดี หรือน่ารังเกลียด!!!
…………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “ทวีลาภ บวกทอง”