เห็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “เจ้าสัว” ธุรกิจน้ำเมา เตรียมใช้เครือข่ายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตนที่มีอยู่ เพื่อตั้งเป็นกองทุนมูลค่าประมาณหมื่นล้านบาท ไว้ช้อนซื้อกิจการโรงแรมระดับ 3-5 ดาวที่กำลังไปไม่รอดจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่อง แถมมาเจอไวรัสโควิด-19 กระหน่ำเข้ามาอีก

โดยมีเจ้าของโรงแรมในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว กำลังเร่ขายโรงแรมที่จวนเจียนเจ๊ง! ประมาณ 100 แห่ง ตั้งแต่ราคาหลักร้อยล้านบาท ไปจนถึงหลายพันล้านบาท ซึ่งกลุ่มของ “เจ้าสัว” ธุรกิจน้ำเมาเล็งโรงแรมไว้ 30 แห่ง ที่สอดคล้องกับความต้องการ และสามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาต่อไปได้

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า 1.เศรษฐกิจพัง 2.คนจน-คนใช้แรงงานกำลังอ่อนแอ 3.ความร่ำรวยมีอยู่เฉพาะในกลุ่มทุนใหญ่ สังคมไทยกำลังรวยกระจุก จนกระจาย และปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งห่างขึ้น 4.ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

สิ่งสะท้อนที่ว่านี้รัฐบาลอาจจะไม่รู้! แต่เยาวชน นักเรียน นักศึกษาที่ออกมาชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับรู้สภาพกันมาตั้งนานแล้ว ว่ากิจการหรือธุรกิจในครอบครองของเขาเป็นอย่างไร หรือพ่อแม่ตกงาน ถูกลดเงินเดือน ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงมาถึงวิถีชีวิตของลูก ๆ กับจำนวนเงินในกระเป๋าของนักเรียน นักศึกษาที่ลดลงตามไปด้วย

ในขณะที่เจ้าสัวบางคนครอบครองที่ดินในประเทศไทยเป็นแสน ๆ ไร่ มากมายจนจำที่ดินของตัวเองไม่ได้ แต่อีกหน่อยคงจำโรงแรมทั้งหมดของตนไม่ได้ว่ามีที่ไหนบ้าง เนื่องจากมีแต่คนอยากขายกิจการ ถึงแม้มูลค่าจะลดลง 30-50% แต่ต้องจำใจขายทิ้งออกไป เนื่องจากแบกภาระไม่ไหวแล้ว

ข่าว “เจ้าสัว” จะตั้งกองทุนหมื่นล้านบาทไว้เลือกซื้อโรงแรมราคาถูก ๆ ที่ไปไม่รอด สวนทางกับข่าวตลก ๆ ว่าจำนวนคนจนลดลงเหลือแค่ 4.3 ล้านคน แต่ไม่ทราบว่าจำนวนคนถือบัตรคนจนลดลงหรือไม่?

ปีที่แล้วยังแจกเงินผ่านบัตรคนจนยัง 14.5 ล้านคนกันอยู่เลย และย้อนแย้งกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงหรือไม่? เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปี 63 ว่ายอดหนี้ครัวเรือนขยับขึ้นไปกว่า 83%

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี จนถึงสิ้นปี 63 อาจขยับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 88-90% สูงสุดในรอบ 18 ปี เพราะปัญหาเศรษฐกิจหดตัวอย่างแรง

“พยัคฆ์น้อย” ไม่ได้ลงไปเที่ยว จ.ภูเก็ต แต่เห็นพรรคพวกที่ไปมาแล้วนำมาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ต่างบ่นว่าภูเก็ตเงียบมาก ตามชายหาดดัง ๆ ไม่มีคนมาเที่ยว บางโรงแรมมีคนพักไม่ถึง 10 ห้อง เจ้าของโรงแรมต้องมาบริการลูกค้าเอง ราคาห้องพักสวีทติดชายทะเล จากเมื่อก่อนคืนละประมาณ 20,000 บาท แต่ช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ลดเหลือ 1,999 บาท

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งพาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปประชุม ครม.สัญจรที่ภูเก็ต เพื่อต้องการกระตุ้นกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งจีน แขก และฝรั่ง ใคร? จะมีจิตใจอยากมาท่องเที่ยวไทยช่วงนี้ หรือว่าไปประชุม ครม.สัญจรเพื่อหลบลมร้อนทางการเมือง

ไม่ต้องพูดถึงคนไทย ส่วนใหญ่จนกรอบเป็นข้าวเกรียบ ต้องใช้ชีวิตกันแบบประหยัดสุด ๆ เนื่องจากตกงานกันรายวัน เดี๋ยวที่โน่นที่นี่ปิดกิจการ เดี๋ยวลดคน 100-200 คน ไปจนถึงการตกงานพร้อม ๆ กันบริษัทละหลายร้อยคน ส่วนคนที่ยังมีงานทำอาจจะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง ไม่มีใครกล้าผ่อนบ้าน-ผ่อนรถ-หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น

สรุปคือจนกันทั่วหน้า ไม่มีใครดราม่าอวดรวย มีแต่ “เจ้าสัว” เตรียมควักโชว์หมื่นล้านบาท ไว้เลือกซื้อโรงแรมและคอมเมอร์เชียลราคาถูก ๆ มาเก็บไว้ ทำให้นึกถึงคำพูดของนายกฯ ทันที เมื่อถูกม็อบออกมาบีบให้ลาออก! ว่า “ผมทำผิดอะไร”

ถ้ายังจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยส่งจดหมายไปหาบรรดาเจ้าสัวเมืองไทย เพื่อขอคำแนะนำและขอความช่วยเหลือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงสบายใจขึ้น เพราะเจ้าสัวกำลังจะเข้ามาช่วยแล้ว คือมาช่วยซื้อโรงแรม ซื้อกิจการที่กำลังจะเจ๊ง!!

พยัคฆ์น้อย