ในที่สุด การย้ายทีมของ ซาดิโอ มาเน ก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ หลัง ลิเวอร์พูล ตอบรับข้อเสนอมูลค่า 35 ล้านปอนด์จาก “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก เรียบร้อย

ย้อนความกลับไปช่วงท้ายซีซั่นที่ผ่านมา ข่าวย้ายทีมทั้งหมดไปรุมอยู่ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เหลือสัญญาปีเดียว ทุกคนลุ้นว่า “โม” จะต่อสัญญาหรือย้าย ขณะที่สถานการณ์ของ มาเน ซึ่งเหลือสัญญาปีเดียวเช่นกันนั้นเงียบกริบ

แต่อยู่ดี ๆ ก่อนเกมนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ รีล มาดริด ก็มีข่าวตูมตามขึ้นมาว่า มาเน ต้องการย้าย และเจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ไปในทำนองนั้นด้วย ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินมาจนถึงวันที่การย้ายทีมเกิดขึ้นจริง ๆ

ดาวเตะทีมชาติเซเนกัล คือนักเตะตัวหลักของทีมชุดนี้คนแรก เจอร์เกน คลอปป์ ดึงตัวมาร่วมทีม เขาย้ายจาก เซาแธมป์ตัน มาอยู่กับ “หงส์แดง” ในปี 2016 ซีซั่นแรกกดไป 13 ประตู พาทีมกลับสู่เวที แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง ก่อนที่ โม ซาลาห์ จะย้ายตามเข้ามาในซัมเมอร์ปีถัดมา

รวมเข้ากับ โรแบร์โต ฟีร์มิโน นี่คือ 3 ประสานแนวรุกที่เป็นตัวหลักพา “หงส์แดง” ประสบความสำเร็จมามากมาย ก่อนจะมี ดีโอโก โชตา เข้ามาเสริมในช่วงหลัง

และเมื่อมาถึงวันที่ มาเน จะไปจริง ๆ เชื่อว่าแฟน “หงส์แดง” ก็คงใจหายพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือมองไปข้างหน้า นื่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจทุ่มเงินก้อนโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในการดึง ดาร์วิน นูนเญซ มาเสริมทีมแบบฉับไว

ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ยืนหน้าเป้าก็ดี หรือปีกซ้ายก็ได้ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับ มาเน เป๊ะ ๆ และแม้ คลอปป์ จะบอกว่าไม่เร่งร้อนจะค่อย ๆ ปั้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เชื่อเถอะว่าค่าตัวระดับนี้ มันย่อมมีความคาดหวังระดับหนึ่ง

และนอกจาก มาเน แล้ว ดิวอค โอริกี และ ทาคุมิ มินามิโนะ คืออีก 2 แนวรุกที่เดินออกจากถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงซัมเมอร์นี้ ขณะที่อนาคตของ โม ซาลาห์ ยังคงไม่แน่นอน แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าซีซั่นหน้ายังอยู่กับทีมก็ตาม

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าแนวรุกยุคใหม่ของ “หงส์แดง” ในซีซั่นหน้า หรือแม้กระทั่งในอนาคตกรณี ซาลาห์ ไม่อยู่ต่อนั้น จะสานต่อความดุดันจาก 3 ประสานแนวรุกยุครุ่งเรืองได้มากน้อยแค่ไหน

ผยองเดช