หากพูดถึงนางเอกมากฝีมือของวงการ ต้องมีชื่อของ เฟิร์น- นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล ติดอยู่หนึ่งในนั้นแน่นอน และตอนนี้เธอก็กำลังพิสูจน์ฝีมือการแสดงอีกครั้งในละคร “เวลากามเทพ” ทางช่องวัน ซึ่งนอกจากบทจะดราม่าท้าทายการแสดงแล้ว ยังมีเรื่องราวที่สอดแทรกความรักรูปแบบของเพศที่สามที่เฟิร์นยอมรับว่าแฮปปี้มาก ที่ได้มีโอกาสมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ นอกจากนี้ยังพูดคุยชีวิตในวงการที่เธอได้ตกตะกอนความคิดจนแข็งแกร่ง และแม้เจ้าตัวจะชื่นชอบและยอมรับทุกเสียงติชม เพื่อนำมาพัฒนา แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้คำวิจารณ์จากคนอื่นนั้นมาคุณค่าของตัวเอง รวมทั้งยังได้อัพเดทเรื่องความรักกันด้วย

อะไรคือความน่าสนใจของ “เวลากามเทพ” ที่ดึงดูดในให้เราอยากแสดงเรื่องนี้?

“อย่างแรกเลยคือ พี่บอย-ถกลเกียรติ ค่ะ จริง ๆ โปรเจคท์นี้ถูกพูดคุยมานานมาก ๆ เราก็รู้สึกว่าน่าสนใจ แม้ว่าพล็อตจะดูเชย ดูเป็นเมโลดราม่า ตบจูบ แต่จริง ๆ ไม่ใช่แบบนั้นเลย พอเราได้เห็นดราฟแรก ก็รู้สึกว่าท้าทายมากเลย เราจะตีความตัวละครนี้ออกมาได้ยังไงให้คนดูสามารถรีเลทและเข้าใจเป้าหมายตัวละครนี้ไปด้วยกันได้ ให้มันสมเหตุสมผลในยุคสมัยนี้ค่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา ยอม ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ ในตัวอย่างมันดราม่าและร้องไห้แน่ ๆ แต่ว่าการร้องไห้หรือถ่ายทอดอารมณ์ต่าง ๆ มันจะแตกต่างจากเรื่องอื่นที่เคยเล่นมา”

การมารับบท “ตรีนุช” ยังไงบ้าง มีอะไรที่รู้สึกเหมือนจนรีเลต (Relate) และต่างจนต้องทำการบ้านเป็นพิเศษบ้าง?

“ความเหมือนหรือง่ายคือ ‘ตรีนุช’ จะมีความที่อยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนไหว รู้สึกอะไรจะไม่ค่อยแสดงออกให้ใครรับรู้ ข้างนอกเหมือนแข็งแรง แต่เขาจะอ่อนแอกับคนที่เขารู้สึกว่าไว้ใจได้ หรือความหนักแน่นในการตัดสินใจบางอย่าง ถ้าเขาเลือกแล้วว่าจะทำมัน ก็จะทำมันทันที ไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เขาจะมีเหตุผลในการตัดสินใจ เลือกทำอะไรสักอย่าง ส่วนที่ไม่ให้ใกล้เคียง และต้องทำการบ้านหนักมาก ก็คือความอ่อนไหว อีโมชั่นนอล ในเรื่องที่เซ้นซิทีฟ เรื่องมุมมองความรัก ที่เขาต้องการความชัดว่าเราอยู่ในสถานะไหน ‘ตรีนุช’ จะเซ้นซิทีฟในเรื่องนี้มาก และเราต้องหาไปหาแบ็กกราวด์ตัวละครเพิ่ม เพื่อที่เราจะได้เข้าใจในตัว ‘ตรีนุช’ เพิ่มขึ้น และสามารถถ่ายทอดความรู้สึกเขาออกมาได้ค่ะ”

สิ่งที่ท้าทายหรือที่ได้เรียนรู้ใหม่จากการทำงานครั้งนี้คืออะไร?

“ความท้าทายในการแสดงเรื่องนี้ คือการหักเลี้ยวของอารมณ์ คือปกติที่เราเล่นมา ซีนที่เป็นดราม่า หรืออะไรก็ตาม จะมีความค่อย ๆ บิ้วท์และระเบิด แต่อันนี้จะเป็นแบบระเบิดเลย หรือเศร้าไปเลย ความท้าทายคือมีซีนที่เหมือนธรรมดา เหมือนไม่มีอะไร แต่เราใส่ดีเทล ตีความให้น่าสนใจขึ้นมาเยอะมาก ๆ ในละครเรื่องนี้ เฟิร์นว่าเรื่องนี้จะได้รู้สึกถึงความเป็นชีวิต เป็นอารมณ์ของคนมากขึ้น เหมือนเราอารมณ์ดีอยู่ดี ๆ แต่มีเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิด เราก็จะขึ้นมาได้เลย ความยากคือเรื่องของการเทิร์นอารมณ์ที่เร็วและแรง ซึ่งเราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนค่ะ”

ละครค่อนข้างเครียด มีติดอารมณ์ตัวละครกลับบ้าน แบบเอาตัวละครไม่ออกบ้างมั้ย?

“มีค่ะ จริง ๆ ติดตัวละคร ‘ตรีนุช’ กลับบ้านก็มี เพราะที่บ้านทักว่านี่ไม่ใช่เฟิร์นเลย อย่างบางทีหนูเหม่อ อยู่ ๆ ก็เหมือนคิดอยู่ในเรื่องราวของตัวละครนี้บ้าง หรือการพูดจา บางครั้งก็เป็นตัวละครนั้นบ้าง คือพอทำความรู้จักกับ ‘ตรีนุช’ มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เหมือนเราช่วยสร้างเขาขึ้นมาด้วย เราจะรู้สึกอินไปกับตัวละครนี้มาก และเราก็อยู่กับมันนานพอสมควร ปีกว่า ๆ มันก็เหมือนเป็นเพื่อนอีกคน (หัวเราะ) ที่เรารับรู้เรื่องราวของเขา และพาเขาไป”

การได้มาร่วมงานกับ “ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา” และ “ทอย ปฐมพงศ์ เรือนใจดี” เป็นยังไงบ้าง?

“สนุกสนานค่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องนี้เราใช้เวลาเวิร์กช็อปเยอะมาก เลยเกิดความสนิทสนมกัน ทำงานกับสองหนุ่มก็สนุก และรุ่น ๆ เดียวกันด้วย บรรยากาศในกองก็ราบรื่น หรือเวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ มีปัญหาเกี่ยวกับบท การแสดง ก็ปรึกษา พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็ดีค่ะ เหมือนได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นมาอีก 2 คน”

ฉากเลิฟซีนมากน้อยแค่ไหน?

“ก็จะมีตามสมควรให้ได้ฟินจิกหมอน เพราะมันเป็นโรแมนติกดราม่า ก็ต้องมีความโรแมนติกมาเสิร์ฟคุณผู้ชมอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญเลิฟซีนแต่ละครั้งก็มีความหาย มีที่มาที่ไป คนก็น่าจะอินไปกับเรื่องราวพอสมควรเลย”

เห็นเป็นละครรักหลากรูปแบบ พอได้มาแสดงเรื่องนี้ เปิดมุมมองความรักให้เราด้านไหนบ้างมั้ย?

“ได้แชร์เหมือนกันค่ะ บางครั้งเป็นแนวคิดที่สามารถไปกับตัวละครได้ เราก็ได้แชร์ความคิดในมุมมองตัวละครนั้น ๆ เยอะพอสมควร หลายครั้งที่เราเวิร์กช็อป และเราได้มีโอกาสถ่ายทอดคำพูดของเราออกมา บางครั้งทีมงาน คนเขียนบทก็ปรับแนวคิดไปใช้ในบทด้วย ก็จะมีบางอันที่ถูกเขียนจากความรู้สึกเราก็มี ที่เขียนแล้วเราใส่ไอเดีย ใส่อารมณ์ ความคิดของเราลงไปในซีนนั้นด้วย แต่เป็นในฐานะของ ‘ตรีนุช’ ไม่ใช่ในฐานะ ‘เฟิร์น-นพจิรา’ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นตัวละครจะไม่ใช่ ‘ตรีนุช’ แต่เป็น ‘เฟิร์น-นพจิรา’ ก็จะมีไอเดียของเฟิร์น จากตัวละคร บางอย่างจะแชร์ ๆ กันไป แต่สนุกค่ะ”

อยากให้แฟน ๆ ที่ดูเรื่องนี้ได้เมสเสจกลับไปมากที่สุด?

“เมสเสจของเรื่องนี้ คือธีมของคำว่าเวลา ซึ่งเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน และเวลาไม่เคยรอใคร เรื่องนี้เฟิร์นว่าทุกคนน่าจะได้เห็นความหมายของคำว่าเวลามากขึ้น อาจทำให้คนดูรู้สึก และกลับมาคิดทบทวนว่าในช่วงหนึ่งของชีวิตเขา มีช่วงไหนที่เขารู้สึกเสียดาย หรือทำให้พลาดอะไรไปมั้ยและมันจะส่งผลงทำให้ปัจจุบันเขา อาจทำทุกนาทีให้ทีค่าให้มากกว่านี้ เรื่องนี้สะเทือนอารมณ์ ที่คนจะได้ข้อคิด ที่สำคัญทุกคนจะได้เห็นมุมมองความรัก ความหลากหลายทางเพศอยู่ในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเฟิร์นรู้สึกว่าในสังคมปัจจุบัน เรามีการยอมรับเพศที่สาม เพศทางเลือกกันมากขึ้น มากไปกว่านั้น คือการทำความเข้าใจความเป็นเพศที่สาม ว่าเขาไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตลก ความหลากหลายทางเพศเป็นรสนิยม ความชอบส่วนตัว ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะมาตัดสินได้จากภายนอก ซึ่งอันนี้จะได้เห็นมุมมองความรักที่ถึงแม้จะเป็นเพศที่สาม แต่เขาอาจสามารถชอบผู้หญิงก็ได้ หรือเราที่เป็นผู้หญิงเราอาจชอบผู้ชายที่เป็นเพศที่สามก็ได้ค่ะ แต่ว่ามันอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความรักและความรู้สึกดี ที่เราสามารถมอบให้ได้ค่ะ”

ส่วนตัว “เฟิร์น” รู้สึกยังไง ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในผลงาน ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของความหลากหลายทางเพศ ที่ตอนนี้หลายคน เริ่มตระหนักและให้ความสำคัญมากขึ้น?

“เฟิร์นชอบนะคะ เพราะเฟิร์นเป็นคนเชื่อในเรื่องของความรักไม่จำกัดเพศอยู่แล้ว เฟิร์นไม่ได้รู้สึกว่าคนเป็นเกย์จะกลับมาชอบผู้หญิงไม่ได้ หรือคนที่เป็นเกย์ต้องออกสาวแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ เฟิร์นรู้สึกว่าอยากให้คนไทย และคนทั่วไป โอเคเรายอมรับความหลากหลายมากขึ้นเนอะ แต่บางคนจะรู้สึกว่าถ้าคุณเป็นเพศที่สาม เป็นตุ๊ด คุณต้องเป็นตัวตลก คุณต้องออกสาวแบบนั้น แต่จริง ๆ ไม่ใช่ เฟิร์นอยากให้หันมามองและเข้าใจว่าจริง ๆ มันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล เป็นรสนิยมส่วนตัว มันไม่ได้แปลว่าการที่มีเพศหลากหลาย จะต้องมีลักษณะแบบนี้ เขาก็เป็นคนปกติทั่วไปเลย แต่เขาแค่อาจไม่ได้ชอบผู้หญิง ผู้ชายเหมือนแบบเราชอบกัน แต่มันควรทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติและเฟิร์นก็หวังว่า ความเท่าเทียมมันจะเปิดขึ้นในคอมมูนิตี้ของคนที่เป็นแอลจีบีทีคิวพลัสจริง ๆ เพราะเขาก็คือคนเหมือนเราปกติ ไม่ได้มีอะไรต่างจากเราเลย เรื่องความรักเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคลจริง ๆ ค่ะ”

ในฐานะที่เป็นคนดัง มีกระบอกเสียงในมือ ส่วนตัวคิดว่าสามารถผลักดันในเรื่อง “สมรสเท่าเทียม” ได้มากน้อยแค่ไหน?

“ส่วนตัวเฟิร์นนะคะ ถ้ามีเฟิร์นก็ลงชื่อ เรารู้สึกว่าเราสามารถเป็นซอฟต์ พาวเวอร์ได้ ทั้งตัวสื่อที่เราแสดง หรือที่เราถ่ายทอด รวมถึงถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ เราก็สามารถช่วยส่งต่อข้อมูลให้คนรอบข้างเราเข้าใจ หรือชวนเพื่อน ๆ มาร่วมลงชื่อ ส่วนตัวเฟิร์นเองก็มีโอกาสได้ลง เพราะมองว่ามันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้เหมือนเรา เพราะว่าเขาก็ไม่ได้ต่างจากเราเลย อีกอย่างเราอยู่ในวงการนี้ เรามีเพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้า เป็นสไตลิสต์ เราอยู่ใกล้ชิดกับพวกพี่ ๆ เขาอยู่แล้ว เราก็สนับสนุนนะว่าจริง ๆ มันควรจะเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ดี เขาควรจะได้รับอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ เฟิร์นรู้สึกว่ามันไม่ควรเป็นเรื่องที่เอามาตัดสินใจใครว่าเขามีสิทธิ์ได้หรือไม่ได้ จริง ๆ เขาก็คือประชาชนคนหนึ่ง เสียภาษีเหมือนเรา ทำทุกอย่างเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เขาก็ควรได้รับในสิ่งที่เขาสมควรได้รับ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เดือดร้อนหรือเบียดเบียนใคร สำหรับเฟิร์นค่ะ”

อยู่วงการเข้าปีที่ 5 ปีแล้ว คิดว่าตัวเองเติบโตจากวันแรก หรือได้เรียนรู้อะไรจากวงการอย่างชัดเจนที่สุด?

“ที่แน่ ๆ เฟิร์นรู้สึกว่าได้เจอตัวตนของตัวเอง และได้ทำในสิ่งที่รัก อันนี้ชัดมาก ๆ จากตอนแรกที่เราทำเพราะว่าเราชอบ เพราะมันน่าสนใจ แต่ตอนนี้เฟิร์นอยู่ด้วยความรัก เหมือนลูก เหมือนบ้านของเฟิร์น อาชีพนี้เป็นสิ่งที่เฟิร์นไม่ทำ ก็คงไม่ได้แล้ว เรารักในการแสดง และเราอยากพัฒนาให้เป็นอาชีพที่มันแข็งแรงและมั่นคงสำหรับเราเรื่อยไป และทำเราเข้าใจอะไรมากขึ้น เข้าใจชีวิต รับฟังและมีสติ ใจเย็นมากขึ้นกับการอยู่ตรงนี้ การเป็นรักแสดงต้องช่างสังเกต รู้จักรับฟังคนอื่นเยอะ ๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวันนึงเราจะได้รับบทบาทอะไร แต่สิ่งที่จะได้แน่ ๆ ก็คือเราฟังและเราก็มีความเปิดกว้าง ทำความเข้าใจกับหลายเรื่อง หรือกับคนมากขึ้นค่ะ หนูรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้หนูโชคดีที่ได้รับความรักและการสนับสนุนจากหลาย ๆ คนที่ทำให้หนูขึ้นมาอยู่ตรงนี้ และมันชัดมากคือว่าเราไม่สามารถมาอยู่จุดนี้ได้เลย ถ้าขาดทีมที่ดี ขาดคนรอบข้างที่ดีค่ะ”

การรับมือกับดราม่าและความคาดหวังจากแฟน ๆ ในแบบของเรา เป็นยังไง?

“อย่างแรกเฟิร์นเป็นคนที่ชอบรับคำติ แสดงว่ามันมีมุมมองที่ต่างจากมุมที่เรามอง ถ้าคำตินั้นเป็นคำติจากความหวังดี อยากเห็นเราในทางที่ดีขึ้น เราจะรับรู้ได้ และเราก็จะปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ ที่น่ารักคือ เฟิร์นมีแฟน ๆ ที่คอยมอบความรักและหวังดีให้ตลอด โดยที่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องมีกี่ผลงาน เขาคาดหวังแค่สิ่งเดียวจากหนูคือขอให้หนูมีรอยยิ้มและความสุข นี่คือสิ่งที่เป็นพลังให้หนูมาก และการที่หนูอยู่ตรงนี้มา 5 ปี หนูก็มีภูมิคุ้มกันในเรื่องของคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ค่อนข้างดีนะคะ เป็นสิ่งที่หนูคิดว่าทำได้ดีกับมัน เป็นเพราะหนูรู้สึกว่าบางคนเขาไม่ต้องใช้พลังงานอะไรเลยในการพิมพ์ เพื่อบั่นทอนจิตใจของเรา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรเสียเวลาไปกับอะไรที่ทำให้เราบั่นทอนจิตใจ หรือสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์กับเราค่ะ หนูว่ามันไม่แปลกที่คนอื่นจะคาดหวังจากเรา หนูว่าเดี๋ยวนี้คนพยายามคาดหวังว่าคนโน้นต้องเป็นอย่างนั้น ดีอย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าลืมไปรึเปล่าว่าจริง ๆ เราคือมนุษย์คนนึง แปลว่าเราสามารถทำผิดพลาดได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราผิด เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเรารึเปล่า เพราะเฟิร์นก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งเฟิร์นจะทำอะไรผิดพลาดรึเปล่า แต่เฟิร์นก็หวังว่าวันหนึ่งที่ผิดพลาด เฟิร์นจะเรียนรู้ ยอมรับและสามารถให้อภัยตัวเองได้ จะเป็นเฟิร์นที่ดีขึ้นกว่าเดิม เราไม่อยากใช้ชีวิตอยู่บนคำพูดคนอื่น เพราะสุดท้ายมันเป็นตัวเราที่รู้ดีที่สุดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และเราทุ่มเทกับสิ่งที่เราทำมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นการที่ให้คำพูดคนอื่นมาลดคุณค่าตัวเอง เป็นสิ่งที่เฟิร์นจะไม่ทำเด็ดขาด”

แปลว่าเราเคารพตัวเองสูง?

“ใช่ค่ะ คือกว่าเราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ มันผ่านเรื่องราว การช่วยเหลือ การให้โอกาส มันผ่านการยอมรับในข้อดีข้อเสียของตัวเอง มันผ่านการตกตะกอนมาเยอะมาก ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นพอมันเคารพตัวเองมากพอ และรู้จักคุณค่าของตัวเองมากพอ อะไรก็ไม่ทำให้เราอ่อนไหวได้ยาก มันมีบ้าง เราก็เป็นคนปกติ เราคงไม่ชอบหรอกถ้าเห็นใครมาพูดถึงเราไม่ดี ในทางที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เราก็ยังมีอารมณ์แบบนั้นอยู่ แต่เราเลือกปล่อยวางได้เร็วขึ้นมากกว่า ทำความเข้าใจกับตรงนี้มากขึ้นมากกว่า พอเราใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความไม่เกลียดชัง อยู่บนความเข้าใจ สุดท้ายมันเป็นเราที่จะสบายใจที่สุด เพราะเขาจะทำได้แค่นั้น ถ้าเราไม่ปล่อยให้เขามาทำอะไรเรา เขาก็จะหายไปเองค่ะ”

คิดว่านักแสดงที่ประสบความสำเร็จ ในมุมมองเราเป็นยังไง?

“ในฐานะนักแสดง ถ้าละครของเราทำให้คนดูรู้สึกอิน และมีความสุขในการดูละครของเราได้ แค่คนเดียวของหนูก็คือความสำเร็จแล้วค่ะ มีคนเข้าใจในข้อความที่เราสื่อออกไป ก็แฮปปี้แล้ว ส่วนคำว่าซูเปอร์สตาร์ไม่ใช่มาตรฐานของหนูเลย เพราะจุดตั้งต้นของหนูคือการที่หนูอยากเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ พอวันนึงมาถึงจุดนี้ มีใครมาถาม หนูก็จะบอกว่าหนูอยากเล่นไปถึงจนแก่เลย เป็นแม่เป็นอะไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นนางเอกได้ แต่ขอให้เป็นนักแสดงอยู่ วันนึงหนูอาจไปเล่นบทอื่น ไม่ได้อยู่ในโพสซิชั่นนี้ก็ได้ แต่หนูหวังว่าจะได้ทำในสิ่งที่หนูรักอยู่ต่อไปค่ะ”

หากพูดถึงชื่อ “เฟิร์น-นพจิรา” ณ วันนี้ 3 คำที่อยากให้คนคิดถึงมากที่สุด คืออะไร?

“ใหม่ สด เสมอ (หัวเราะ) มันเป็นความหมายของชื่อหนู เป็นความหมายของ ‘นพจิรา’ ด้วย คำว่า ‘ใหม่’ หมายถึงว่าเราเป็นคนที่สามารถรีเฟรชได้ตลอด อยู่ในสถานการณ์อะไรก็สามารถร่าเริงได้เสมอ ‘สด’ ย่อมาจากคำว่าสดชื่นค่ะ มีความไลฟ์ลี่ อยู่ที่ไหนก็ยิ้มแย้มตลอดเวลา ส่วน ‘เสมอ’ คือเวลามีเรื่องทุกข์ใจอะไร ก็ทุกข์ใจไม่นาน ก็จะกลับมายิ้มมาได้ยิ้มได้เสมอค่ะ (ยิ้ม)”

อัพเดทความรักหน่อย?

“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ คบมา 3 ปีกว่าแล้วค่ะ ถามว่าการประคองรักท่ามกลางอาชีพนักแสดงเป็นยังไง คือเฟิร์นว่าทุกความสัมพันธ์ก็มีเรื่องให้ปรับตัวกันตลอดอยู่แล้ว มันให้เราได้เรียนรู้กันไปในทุกวัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของงานหรืออะไร จริง ๆ ไม่มีเลย มีแต่หนูทำงานมากขึ้น แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะสิ่งหนึ่งเลยคือเขาเคารพและให้เกียรติการทำงานของเรามาก มันคือสิ่งสำคัญเลย มันเลยไม่ได้ปัญหาว่าต้องปรับตัวในเรื่องของงาน เราต่างเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ ”

ถามจุดเริ่มต้นในการดูใจกับหนุ่มคนนี้ อะไรในตัวเขาชนะใจเรา?

“จริง ๆ ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องจังหวะและเวลาที่ได้เจอกัน และมีโอกาสได้คุยกันแล้วเข้าใจตัวตนซึ่งกันและกัน เลยสามารถคุยกันมาได้เรื่อย ๆ เลยค่ะ ”

“ความรัก” ในมุมมองของเฟิร์น ใน ณ วันนี้เป็นยังไง?

“เฟิร์นว่าความรักมันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เป็นเซฟโซนในวัยเท่านี้ ไม่ใช่ความรักที่หวือหวา เฟิร์นรู้สึกว่าความรักมันควรเรียบง่ายและเป็นเหมือนบ้าน ที่เรารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่เราได้กลับมา และควรเป็นอะไรที่อยู่แล้วสบายใจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงหรืออยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่มันควรมีเวลาของเรา เวลาของเขา และเวลาของเราสองคน มันเป็นอะไรที่น่าจะสบายใจ สบายตัว ไม่ต้องรู้สึกฝืน หรือเป็นสิ่งที่เราต้องเหนื่อยกับมันค่ะ เราก็ควรซัพพอร์ตซึ่งกันและกันและกัน ให้มันไปในทางที่ดีขึ้น ๆ ค่ะ”

ในฐานะนักแสดงที่มีแฟนคลับ มีการบาลานซ์ระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวยังไงบ้าง กับการทั้งรักษาฐานแฟนคลับและให้ความสำคัญกับคนที่คุย?

“หนูว่าอย่างแรกเลยเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเราเอง ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราเป็นแล้วแสดงตัวตนเลย เป็นตัวของเราเองให้ชัด อย่าพยายามเป็นคนอื่นเพื่อเอาใจคนอื่น เพราะสุดท้ายจะเป็นเราที่เหนื่อยเอง ที่ไปเป็นในสิ่งที่มันไม่ใช่ และคนที่เขาอยู่ก็ไมได้อยู่กับสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเอง และโชว์ในสิ่งที่เป็นตัวเองให้แฟนคลับได้เห็น ถ้าเกิดแฟนคลับยังอยู่และรับได้ในแบบที่เราเป็น หนูว่ามันจะอยู่ด้วยความสบายใจ ทั้งตัวเราและแฟนคลับ และเราจะต่างมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กัน หรือแฟนคลับทำอะไรที่มากไป หรืออาจมีบางอย่างที่แฟนคลับไม่เข้าใจเรา ก็อาจมีการชี้แจง อธิบายให้เขาได้ฟัง หนูรู้สึกว่าแฟนคลับก็เหมือนบ้านอีกหลังของหนู คนอยู่ในบ้านเยอะ เราเป็นเจ้าของบ้าน บางครั้งก็อาจมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้นแต่ว่าความไม่เข้าใจนั้น ถ้าเราบาลานซ์มันได้ และมูฟออนต่อไป มันก็จะทำให้ความรักของเราแข็งแรงขึ้น ส่วนเรื่องส่วนตัว หนูว่าหนูเป็นคนค่อนข้างชัดเจนว่าลิมิตของเราอยู่ตรงไหน และน่ารักมากที่แฟนคลับของหนูจริง ๆ ไม่เคยมาละเมิดความเป็นส่วนตัวของเรา มีแต่อยากให้เราได้มีเวลาส่วนตัว เขาจะบอกเสมอค่ะ เวลาหนูเหนื่อยมาก ๆ ก็จะมีช่วงชัตดาวน์ของตัวเอง ไม่ได้เล่นโซเชียล หลบอยู่เงียบ ๆ คนเดียว แฟนคลับก็จะเข้าใจและรู้ แต่หนูกลับมาก็มอบพลัง สนุกสนานให้พวกเขาเหมือนเดิม หนูโชคดีที่เจอแฟนคลับที่น่ารักและเข้าใจในแบบที่เราเป็นจริง ๆ เขาเคารพและให้พื้นที่ส่วนตัวกับหนูเยอะมาก ๆ ค่ะ”

ต้องบอกว่า “เฟิร์น นพจิรา” เป็นอีกหนึ่งนางเอกที่ครบเครื่องของวงการ  ทั้งในแง่ของฝีมือการแสดงที่เฉียบคมขึ้นทุกวัน ไปจนถึงตัวตนและมุมมองความคิดที่ชัดเจน พร้อมรับฟังทุกเสียงติชม แต่ก็ยังคงเคารพตัวเอง เพื่อเป็น “เฟิร์น นพจิรา” เวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกวัน!

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน