ยกให้เป็นอีกหนึ่งคนที่พัฒนาตัวเองเสมอ สำหรับ เฌอปราง อารีย์กุล สมาชิกไอดอลกรุ๊ปดัง “BNK48” ที่วันนี้เธอได้ท้าทายตัวเองกับการก้าวจากไอดอลมาสู่สายนักแสดง และล่าสุด เฌอปราง พิสูจน์ฝีมืออีกครั้งในภาพยนตร์สยองขวัญ “SLR กล้อง ติดตาย” ของ “เอ็ม พิคเจอร์ส” มีกำหนดฉายวันที่21 เม.ย.นี้งานนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดไปพูดคุยกับ เฌอปราง ถึงบทบาทครั้งนี้ รวมทั้งชีวิตในวงการ ถอดความคิดและตัวตนของเธอที่เต็มไปด้วยแพสชั่นและไม่เคยหยุดเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นข้อผิดพลาดและความสำเร็จ มาฝากแฟน ๆ พร้อมส่งต่อพลังบวกแบบจัดเต็ม   

ความน่าสนใจของโปรเจ็ตก์หนัง “SLR” อยู่ที่ตรงไหน อะไรที่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้เรารับเล่นเรื่องนี้?

“หนูได้รับโอกาสมาแคสเป็น ‘น้ำ’ ผู้กำกับเห็นว่าเหมาะสม จึงได้ร่วมงานกัน ดีใจมากค่ะ เรื่องนี้มีแอ๊คชั่นนิด ๆ มีความสยองขวัญ ตื่นเต้นที่ได้เล่นกับซีจี และเรื่องราวที่น่าสนุก สำหรับเราค่อนข้างใกล้คาแรกเตอร์ ‘น้ำ’ ตรงเป็นคนคิดก่อนทำ การทำการบ้านเป็นพิเศษไม่ค่อยมี เพราะพาร์ทของเฌอก็เป็นแบบนี้ เป็นอาเจ๊หน่อย ๆ (หัวเราะ) ส่วน ‘น้ำ’ เป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน สิ่งที่ต่างคือการมากองถ่ายแล้วได้ใส่ชุดที่ ‘น้ำ’ ใส่ แอคเซสเซอรี่เยอะ เป็นผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสียมาก จีบอีกฝ่ายก่อนด้วย ซึ่งตอนอ่านมีบางประโยคที่คิดว่าเล่นแบบนี้เหรอ ไม่ใช่ย่อยนะเรา เป็นคนกลัวแต่ไม่ยอมแพ้ค่ะ”

การแสดงหนังสยองขวัญเรื่องนี้ ทำให้ “เฌอปราง” ได้พัฒนาตรงไหนบ้าง?

“ได้ทำเวิร์กช็อปและเรียนการแสดงเพิ่มเติมมากขึ้น ได้อินโพรไวซ์บ่อยขึ้น ตอนที่เวิร์กช็อปกับเพื่อนนักแสดงด้วยกัน ความยากคือเล่นกับจินตนาการตัวเองค่อนข้างสูง เล่นกับซีจี มากกว่าเรื่องก่อน ๆ ที่เคยมา ได้เข้าฉากแอ๊คชั่นบ้างเล็กน้อย ก็ตื่นเต้นมาก ๆ เป็นไอเดียที่ทำให้เราอยากเรียนแอ๊คชั่นให้มากกว่านี้ค่ะ”

หากชีวิตจริงเราได้กล้องที่มีคุณสมบัติเหนือธรรมชาติมา มา 1 ตัว อยากให้กล้องนั้นมีคุณสมบัติยังไง?

“อยากให้กล้องนี้เปลี่ยนมู้ดคนได้ค่ะ เปลี่ยนอารมณ์ให้คนแฮปปี้ค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราเห็นคนนั่งเศร้า ๆ พอเราถ่ายเขาและได้เห็นคนดีขึ้นก็ดี หรือไม่ก็ง่ายสุดคือ เป็นกล้องที่ถ่ายแล้วหน้าเด็ก (หัวเราะ) ”

นอกจากความสยองแล้ว คิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องการส่งเมสเสจ (Message) อะไรไปถึงคนดูบ้าง?

“ทางผู้กำกับเขาอยากให้คนรู้สึกว่าบางทีทางลัดมันก็ไม่ได้น่าไป ในการประสบความสำเร็จ เราไม่ได้แบกไว้คนเดียว อย่างตัวละคร ‘แดน’ คือเขายังมีคนรอบข้างแต่เขาไม่หันไปพึ่งเท่าไหร่ เลยรู้สึกว่าใจเย็นนะ เราไม่ได้แบกไว้ด้วยตัวเอง มาพึ่งกันบ้างก็ได้ เพราะเราแสดงเป็นตัวละครที่ให้ความช่วยเหลือและรอให้เขาเข้ามา แต่เขาไม่ยอมสักที จนเราคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะตายแล้ว ก็ต้องวิ่งเข้าไปช่วยแทน ให้ทุกคนได้ฉุกคิดต่อค่ะ จะเลือกทำแบบ ‘แดน’ รึเปล่าค่ะ”

การเป็นสมาชิก “BNK48”  ไม่ใช่เรื่องง่าย เรามีวิธีก้าวข้ามอุปสรรคแต่ละครั้งมาได้ยังไง?

“ง่าย ๆ ที่สุดคือกินของหวานค่ะ (หัวเราะ) และรู้ตัวว่าเราอยู่ในอารมณ์ไหน มักจะท่องว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ ใจเย็น ๆ ฮึบ ๆ สู้ ๆ บอกตัวเองและทำไปก่อน บางทีเจอเรื่องยาก ๆ เราไม่มั่นใจว่าทำได้หรือเปล่า แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย ทำไม่ได้ก็เอาใหม่ หรือจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่จะทำให้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามความเหมาะสมและคอนดิชั่น ณ เวลานั้น บางทีป่วยก็จงรู้ว่าตัวเองป่วย และไม่ควรฝืนตัวเอง ถ้าฝืนได้หนูก็พยายามฝืนและจะบอกทุกคนว่ารีบถ่ายให้เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูจะไปเข้าโรงพยาบาลเอง ซึ่งก็เกิดขึ้นในกองถ่าย “SLR” ด้วย คือหนูเป็นไข้เลือดออก ไข้ขึ้นคืนแรกเลย แต่ต้องออกกองถ่ายวันนั้น เพราะจองสถานที่แล้ว เป็นสนามกีฬาเลย ทุกคนก็เป็นห่วง แต่หนูจะไปโรงพยาบาลตอนเช้ามาก โรงพยาบาลก็ยังไม่เปิดดำเนินการ เลยกินยาแล้วไข้เริ่มลด เลยบอกพี่ถ่ายหนูให้เสร็จก่อนแล้วเดี๋ยวหนูเข้าโรงพยาบาลทีเดียว ต้องขอบคุณทีมงานที่ซัพพอร์ตหนูมากจริง ๆ ค่ะ”

จากไอดอลมาสู่การเป็นนักแสดง ต้องปรับตัวเยอะมั้ย และคิดว่าสองอย่างนี้มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง?

“ต่างกันมากค่ะ อันนึงคือเดี๋ยวนี้หนูเต้นไม่ค่อยไหว แรงฟื้นฟูร่างกายไม่เท่าเมื่อก่อน การเต้นจะอินเทนส์กว่า ต้องต่อเนื่องเพราะเต้นและร้องพร้อมกัน เลยคนละมู้ด การแสดงจะหลากหลายอารมณ์กว่า ตามบท แต่การป็นไอดอลจะมีแพตเทิร์นที่เราได้ฝึก เพลงนี้อยากสื่อสารเรื่องอะไร ร้องยังไง ท่าเต้นเป็นยังไง แต่การแสดงจะค่อนข้างดีไซน์เองได้มากกว่าค่ะ ก็เป็นความแตกต่างที่รู้สึกว่า คนสายงาน ก็ต้องฝึกต่างกันที่จะทำให้ดีทั้งคู่ค่ะ”

นิยามความเป็น “BNK48” เปรียบได้กับอะไร และได้เรียนรู้อะไรจากการได้เข้ามาอยู่ในวงนี้มากที่สุด?

“เข้ามาอยู่ในวง ‘BNK48’ เป็นประตูบานแรกที่ทำให้เฌอได้เข้าวงการ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสที่เข้ามาตรงนี้ ถือว่าเป็นโอกาสครั้งใหญ่มากในชีวิต ช่วยทางบ้านของเฌอได้เยอะด้วย ช่วยเฌอด้วย ได้เปิดโลกมาก ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้อยู่บนจอภาพยนตร์ในโรงหนังได้ ก็ดีใจมากที่พอได้เข้ามา แล้วมีคนเล็งเห็น ‘BNK48’ และเติบโตมากับ ‘BNK48’ ถือเป็นโอกาสและน้อง ๆ ก็น่ารัก เป็นความอบอุ่นและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เติบโตมาด้วยกัน รวมถึงแฟน ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนกัน ทำให้เฌออยากอยู่ในวงการบันเทิงต่อ เพราะอยากมีผลงานให้แฟน ๆ ที่สนับสนุนกันมาตั้งแต่แรกค่ะ”

ณ วันนี้รับมือดราม่าต่าง ๆ และความคาดหวังจากแฟน ๆ ได้ยังไงบ้าง?

“รับกำลังใจดี ๆ จากแฟน ๆ เห็นคอมเมนต์ก็มีทั้งดีและไม่ดี ก็เลือกรับ คัดกรอง บางทีก็พักไปบ้าง ไม่ค่อยได้อ่านบ้าง ช่วยได้เยอะพอสมควร ไปกินของหวานค่ะ ก็ช่วยได้ดี รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ก็น่าจะโอเค แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าชีวิตจะทำยังไง มีช่วงที่ต้องขอพักงานไปเหมือนกัน ขอรีเซตนิดนึง แต่ก็ดีใจที่แฟน ๆ ยังเป็นกำลังใจและรอคอยที่เฌอจะกลับมาแอคทีฟปกติ แต่เฌอก็เป็นพวกบ้างาน หายไปได้ไม่นานหรอกค่ะ (หัวเราะ)”

เมื่อมองย้อนไป มีอะไรที่เราอยากกลับไปแก้ไขหรือทำให้ดีขึ้นมั้ย?

“ไม่มีค่ะ เฌอเป็นพวกผิดพลาดก็เรียนรู้ และมันผ่านมาแล้ว ถ้ามันไม่ผ่านมาก็ไม่เป็นเฌอที่เรียนรู้แบบทุกวันนี้ ซึ่งตอนนี้อาจยังมีเรื่องที่จะผิดพลาดอีกในอนาคต แต่เฌอหวังว่าตัวเองจะได้เรียนรู้และก้าวต่อไปได้ เพราฉะนั้นถ้าเรื่องแก้ไขไม่ค่อยมีค่ะ”

กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ง่ายเลย มีเรื่องอะไรที่เราอยากขอบคุณตัวเองที่สุด เป็นพิเศษบ้างมั้ย?

“ขอบคุณที่อยู่มาถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ) ที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้ ทั้งสุขและทุกข์ หนูก็ดีใจกับทุกเรื่องที่เจอ ถ้าเจอเรื่องไม่ดีก็เป็นบทเรียนให้ตัวเอง ส่วนเรื่องที่ดีก็จะเป็นกำลังใจว่าเราเคยทำได้มาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ พยายามก่อนนะ แต่หนูอยากขอบคุณผู้คนรอบ ๆ มากกว่า ที่คอยเป็นกำลังใจให้ ทั้งครอบครัว ทีมงาน เพื่อน ๆ ในวง คนที่หนูได้ร่วมงานด้วย รู้สึกดีใจทำงานด้วย มีแฟน ๆ ที่น่ารัก ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เฌออยู่รอดมาถึงวันนี้”

มองเป้าหมายในวงการบันเทิงและเป้าหมายชีวิตไว้ยังไง?

“ไกลสุดอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ที่พึ่งพาตัวเองได้ ถ้าเป็นไปได้ก็คงอยากสอนหนังสือเด็ก นั่นคือวัยแก่ วัยเกษียณมาก (ยิ้ม) แต่ก่อนหน้านั้นก็คือดูแลทางบ้านให้ดีที่สุด ดูแลภาระได้ เคลียร์ให้หมด และได้ไปเรียนต่อด้านบริหาร ที่ต่างประเทศสักปีสองปี ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนสายวิทย์ต่อ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีผลงานในวงการต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

เป็นไอดอลที่ไม่ทิ้งการเรียน แม้ทำงานในวงการและได้เงินมาก แต่เรามองเห็นความสำคัญของการเรียนยังไง?

“ตั้งแต่เด็กเฌอคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร เลยเรียนไปก่อน คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่าหน้าที่ของเราคือการเรียน ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองสนใจอะไร เลยลองทำทุกอย่างให้เต็มที่ พอมีโอกาสได้เข้าวงการ ก็จะมีระยะเวลานึงที่หน้าหนูจะยังเด็กอยู่ (ยิ้ม) พอถึงจุดนึงก็คงไม่ได้อยู่ มันก็มีระยะเวลาของมัน เลยรู้สึกอยากมีทักษะอื่น ๆ ด้วย และก็เป็นความสนุกสนาน และตั้งใจที่อยากเรียนให้จบ อะไรที่มาระหว่างทางก็ดีและทำ แต่ตั้งใจเรียนให้จบด้วย ก็เป็นความสบายให้ผู้ใหญ่ด้วย ตัวเองก็ได้คอมพลีทในจุดนึง จะไปยังไงต่อค่อยว่ากัน หรือระหว่างเจอสิ่งที่คิดว่าใช่ และอยู่กับสิ่งนี้ได้แน่ ๆ และไม่จำเป็นต้องใช้ใบปริญญา ก็โอเคเหมือนกัน ก็แล้วแต่คนเลย ถ้าต้องเอาเวลาไปทุ่มเทกับอะไรก็เลือกเลย อย่างตอนนี้เฌอก็เลือกไม่เรียนต่อ จริง ๆ ตั้งใจเรียนต่อเลยหลังจากปริญญาตรี แต่ตอนนี้หยุดไว้ก่อน ยังไม่ได้เรียนปริญญาโท เพราะรู้ยังทุ่มเทเวลากับมันไม่ได้ ยังมีงานวงและงานแสดงที่ได้รับมาอยู่ โอกาสตรงนี้มาเฌอก็อยากเต็มที่ตรงนี้ก่อนค่ะ ตอนนี้ก็ทำอะไรทีทำได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อ่านหนังสือไป เพื่อปูความรู้ในเรื่องอื่น ๆ ไปก่อน ไม่หยุดเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้นั้นตลอดชีวิต เราเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง การแสดงก็เป็นการเรียนรู้ที่ใหม่มาก สำหรับหน้าที่ที่ได้รับมาค่ะ ”

บาลานซ์เรื่องงานและความรักยังไง?

“ตอนนี้มีแค่แฟน ๆ กำลังใจจากครอบครัว และคนรอบข้าง สมาชิก คือถ้ามีก็โอเค แต่ถ้ายังไม่มีหนูก็ไม่ได้มายด์ว่าจะต้องมี ถ้าเข้ามาแล้วชีวิตแย่ลง ก็คงไม่เอาดีกว่า ก็แล้วแต่ว่าเราจะเจออะไรในอนาคต ก็ว่ากันอีกทีค่ะ (ยิ้ม) ”

อีกหนึ่งความรักคือแฟนคลับ มีอะไรประทับใจเล่าให้ฟังบ้าง?

“เขาทุ่มเทให้เฌอเยอะมาก ขอบคุณมากจริง ๆ และยินดีมากที่เป็นความสุขให้ได้ไม่มากก็น้อย ถ้าเปลี่ยนมู้ดให้เขาแฮปปี้ได้เฌอก็ดีใจมาก หวังว่าเขาจะมีกำลังใจดี ๆ ที่จะก้าวต่อไปในเส้นทางของตัวเอง เฌอดีใจที่เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ เป็นแรงบันดาลใจให้เขาได้  หวังว่าทุกคนจะมีความสุข รู้สึกขอบคุณมาก ไม่มีพวกเขาก็ไม่มีหลายอย่างในวันนี้ค่ะ”

เรียกว่าเป็นการสัมภาษณ์เต็มไปด้วยพลังบวก ทั้งรอยยิ้มของ “เฌอปราง”ที่มีให้เห็นตลอดการพูดคุย รวมทั้งมุมมองต่อวงการ ที่เจ้าตัวได้โลดแล่นมา 5-6 ปี ซึ่งผ่านทั้งทุกข์และสุข แต่ก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ซึ่งความคิดของไอดอลสาวคนนี้ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้หลายคนได้ไม่น้อยทีเดียว

วันวิสาข์ ดอกเงิน