นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดพังงาติดตามความคืบหน้าและประชาสัมพันธ์โครงการประกันรายได้ปาล์ม ปี 3 และเป็นประธานเปิดกิจกรรม“พาณิชย์เดินหน้าอมก๋อยโมเดล@ พังงา สินค้ามังคุดทิพย์พังงา” พร้อมด้วยนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นางสาวนุสรา กาญจนกูล ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน นางกันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์ นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส.พังงา นายบำรุง ปิยนามวนิช อดีตนายก อบจ.พังงา นายชัยยศ ปัญญาไวย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 นายสุขทัศน์ ต่างวิริยะกุล รองผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย ตัวแทนกลุ่มผู้ขายมังคุดทิพย์ 9 กลุ่ม 6 อำเภอ ตัวแทนห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ตัวแทนตลาดกลางสินค้าเกษตร แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่อาคารเอนกประสงค์ปากถัก ตําบลท่านา อําเภอกะปง จังหวัดพังงา

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สมัยที่ตนมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แรกๆ ผลปาล์มกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ถ้าต่ำกว่า 4 บาท จะมีส่วนต่างโอนเข้าบัญชี ธ.ก.ส. ให้เท่ากับ 4 บาท ตามราคาประกันรายได้ แต่ปัจจุบันเราแก้ปัญหาให้ปาล์มราคาดีขึ้น วันนี้ที่นี่ 10 บาทกว่าแล้ว นอกเหนือจากปัจจัยราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่สูงขึ้น มีส่วนทำให้ราคาผลปาล์มปรับเพิ่มขึ้นแล้ว ตนได้พาพ่อค้าไปเปิดตลาดส่งออกน้ำมันปาล์มที่อินเดีย 2 ครั้ง ทำให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มไปอินเดียเพิ่มขึ้นถึง 438% อย่างไรก็ตาม เมื่อผลปาล์มราคาแพง ต้นทุนการทำน้ำมันปาล์มขวดก็แพงขึ้นไปด้วย โดยตามโครงสร้างราคาควรอยู่ที่ขวดละ 68-70 บาท แต่เราพยายามขอความร่วมมือบริษัทผู้ผลิตน้ำมันปาล์มไว้ ทำให้ราคาขายน้ำมันปาล์มขวดเฉลี่ยทั่วประเทศยังอยู่ที่ขวดละ 63.34 บาท น้ำมันถั่วเหลือง 64.22 บาท และเรื่องราคายางพารา วันนี้ดีขึ้น ยางก้อนถ้วยหรือขี้ยาง ราคาล่าสุดเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 26.50-27 บาท/กก. ซึ่งสมัยก่อนขี้ยางกิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งทุกอย่างดีขึ้น

“สำหรับโครงการประกันรายได้จะยังคงอยู่ ซึ่งเป็นยาขนานสำคัญและเป็นนโยบายสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาล และเข้าปีที่ 3 จะขึ้นปีที่ 4 แล้ว ช่วยให้เกษตรกรมีหลักประกันรายได้ที่ดีมาก ม็อบเกษตรกรถึงไม่มีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างน้อยสามารถยังชีพได้ด้วยเงินส่วนต่างของโครงการประกันรายได้”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

สำหรับการเซ็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าระหว่างผู้ซื้อกับเกษตรกรผู้ปลูกมังคุดจังหวัดพังงา จำนวน 1,050 ตัน เป็นการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อให้เกิดหลักประกันว่ามังคุดฤดูนี้ มังคุดทิพย์พังงาบ้านเราอย่างน้อย 1,050 ตัน ขายได้แน่นอน ที่จะออกลูกในเดือนพฤษภาคม มิถุนายนโดยประมาณ และราคารับซื้อเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ราคา 45-60 บาท/กก. ถ้าเป็นมังคุดคละกิโลกรัมละ 25-35 บาท ตนใช้โมเดลนี้ก่อนหน้านี้ 1 ปีแล้ว สั่งการเป็นนโยบายที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ให้เกษตรกรที่ปลูกบุก ปลูกเครื่องเทศที่ขายไม่ค่อยได้ราคา สั่งการเป็นนโยบายให้พาณิชย์จังหวัดเป็นเซลล์แมนจังหวัดช่วยขายพืชผลการเกษตร พาผู้ซื้อไปทำสัญญารับซื้อล่วงหน้า ทำให้เกษตรกรชนกลุ่มน้อยที่อำเภออมก๋อย มีหลักประกันพืชเกษตร รู้ราคาล่วงหน้า

วันนี้จึงใช้ชื่อ”อมก๋อยโมเดล” มารับซื้อที่พังงา ซึ่งปีนี้น่าจะมีผลผลิตประมาณ 3,000 ตัน มารับซื้อแล้ว 1,050 ตัน และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมสำคัญช่วยหาตลาดให้ล่วงหน้า ตนเชื่อว่าปีนี้มังคุดไม่น่าจะมีปัญหาแต่ขอให้ทำให้มีคุณภาพ ไม่ให้เสียชื่อจะทำให้ปีต่อไปคนจะแย่งกันซื้อและมีกำลังใจมาทำสัญญา

“ปีนี้มีบริษัทมาเซ็นสัญญา 13 แห่ง เป็นห้างสรรพสินค้า 5 แห่ง ตลาดกลาง 2 แห่งแพลตฟอร์ม 1 แห่ง และเป็นล้งรวบรวมผลไม้ 5 แห่ง รวม 13 แห่ง จากกลุ่มเกษตรกรบ้าน 9 กลุ่ม 6 อำเภอ 1,050 ตัน ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวสวนมังคุดทิพย์ด้วย”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

กรมการค้าภายในระบุว่า ผู้ประกอบการ 13 ราย ที่เข้าทำสัญญาฯกับกลุ่มเกษตรกรมังคุดทิพย์พังงา 9 กลุ่มประกอบด้วย
1.ห้าง 5 ราย: เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล/เดอะมอลล์ กรุ๊ป/ สยามแม็คโคร/ บิ๊กซี/ เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น 2.ตลาดกลาง 2 ราย: ตลาดศรีเมือง/ ตลาดมรกต 3.แพลตฟอร์ม 1 ราย: Ohlala (ททบ.5) 4.ผู้ประกอบการรับซื้อผลไม้ทั่วไป 5 ราย: เอเจฟรุ๊ต อินเตอร์เทรด/ กรณ์มี/ รุสกีผลไม้/ รุสกีซัพพลาย อิมปอร์ต/ ชาลินี

และสำนักงานเกษตรจังหวัดพังงาได้แจ้งข้อมูลผลผลิตมังคุดในการประชุมคณะทำงานดำเนินกิจกรรมพรีออเดอร์ผลไม้มังคุดที่พังงาปี 2565 จังหวัดพังงาครั้งที่ 1/ 2565 คาดว่าผลผลิตปี 2565 จะมีปริมาณ 2,968.50 ตัน เนื่องจากจังหวัดพังงามีฝนตกชุกและมีปริมาณน้ำฝนสูง ส่งผลให้ดอกมังคุดร่วง ทั้งนี้ เกษตรกรจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม โดยแหล่งผลิตสำคัญได้แก่ อำเภอกะปง 39% ตะกั่วป่า 20% คุระบุรี 14% และท้ายเมือง 14%