สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพรัสเซียในยูเครน ซึ่งยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายอย่าหนักให้กับเมืองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพลเรือนเชื้อสายรัสเซีย และพูดภาษารัสเซียเช่นกัน โดยขอบเขตของความเสียหายนั้น รุนแรงยิ่งกว่าสงครามในเชชเนียเสียอีก


ผู้นำยูเครนยืนยันว่า รัฐบาลเคียฟไม่เคยกดขี่ข่มเหงประชากรเชื้อสายรัสเซีย และไม่มีนโยบายใช้มาตรการทางทหารยึดพื้นที่ขัดแย้งในภูมิภาคดอนบาส ที่อยู่ทางตะวันออก กลับคืนจากกองกำลังนิยมรัสเซีย เนื่องจากจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลงร้าย จนอาจบานปลายกลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่สาม” แต่เขาต้องการ “ประนีประนอม” ในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับสถานะของคาบสมุทรไครเมีย ที่อยู่ทางตอนใต้ของยูเครน และผนวกรวมกับรัสเซีย เมื่อปี 2557


เกี่ยวกับการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติการสู้รบ ซึ่งล่วงเข้าสู่เดือนที่สอง เซเลนสกี กล่าวว่า เขาพร้อมแล้วที่จะหารือเกี่ยวกับสถานะความเป็นกลางทางทหาร และการที่ยูเครนจะเป็นประเทศปลอดนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เขาต้องการ “หลักประกันด้านความมั่นคง” ในเรื่องนี้ “จากบุคคลที่สาม” และข้อตกลงทั้งหมดต้องผ่านการลงประชามติจากชาวยูเครนก่อนมีผลอย่างเป็นทางการ


การแถลงดังกล่าวของเซเลนสกีเป็นการให้สัมภาษณ์กับสื่ออิสระแห่งหนึ่งของรัสเซีย มีความยาวประมาณ 90 นาที และผู้นำยูเครนใช้ภาษารัสเซียตลอดการให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตรวจสอบด้านการสื่อสารของรัสเซีย หรือ รอสคอมนาดซอร์ เตือนสื่อทุกแห่งในประเทศ “ไม่ควรเผยแพร่” บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้


ขณะที่สำนักข่าวกรองทหารของยูเครนออกแถลงการณ์ว่า ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย แท้จริงแล้ว คือความพยายามของรัฐบาลมอสโก ในการแบ่งยูเครนออกเป็น 2 ประเทศ แบบเดียวกับเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ขณะเดียวกัน แม้กองทัพยูเครนพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อต้านทานกองทัพรัสเซีย แต่ภายในอีกไม่ช้านี้ “ยุทธการสงครามกองโจร” กำลังจะเกิดขึ้น.

เครดิตภาพ : REUTERS