เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรู-ดีแทค และการค้าปลีก–ค้าส่ง สภาผู้แทนราษฎร ที่มี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุม ภายหลังการประชุมกลุ่มงานเลขาธิการ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรู-ดีแทค และการค้าปลีก-ค้าส่ง ได้ส่งเอกสารเผยแพร่มีเนื้อหาว่าการพิจารณาเรื่องผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมดังกล่าว โดยเชิญผู้แทนจาก กสทช. และสำนักงาน กขค. เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการของหน่วยงานในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1.แนวทางการจัดทำรายงานผลกระทบกรณีรวมธุรกิจทรู-ดีแทค ของ กสทช. 2.การใช้อำนาจของหน่วยงานกำกับ ตามบทบัญญัติในมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 ในกรณีรวมธุรกิจทรู-ดีแทค และ 3.ผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเกี่ยวกับการคัดเลือกที่ปรึกษาอิสระของ กสทช. รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องในการดำเนินการรวมกิจการภายหลังจากที่ได้รับทราบข้อมูลและข้อเท็จจริง รวมทั้งได้มีการสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคณะกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดย กมธ.ได้มีความคิดเห็นต่อการดำเนินการการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรู-ดีแทค เบื้องต้นสรุปว่า กมธ.ยังมีความกังวลอย่างยิ่งต่อการรวมกิจการในครั้งนี้ และหากเป็นไปได้ยังไม่อยากให้เกิดการรวมกิจการดังกล่าวในขณะนี้ เนื่องจากยังมีหลายประเด็นที่เป็นข้อกังวลของคณะกรรมาธิการไม่ว่าจะเป็น 1.เรื่องของการแต่งตั้งคณะกรรมการ กสทช. ที่ยังไม่เรียบร้อย ทำให้ไม่มีความชัดเจนว่าการที่จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตครั้งนี้ คณะกรรมการชุดเก่า หรือชุดใหม่จะต้องเป็นผู้พิจารณา เพราะในกระบวนการมีความคาบเกี่ยวกันอยู่ 2.ประเด็นเรื่องของการตีความกฎหมาย กฎ กติกาในการควบรวมที่ยังไม่ชัดเจนว่า หน่วยงานผู้กำกับดูแลควรดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 3.ข้อมูลรายงานผลการศึกษาผลกระทบต่าง ๆ รวมทั้งการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของต่างประเทศ ที่หน่วยงานได้นำมาประกอบการพิจารณาเป็นผลการศึกษาที่ไม่ทันสมัย ไม่มีความเป็นปัจจุบันและไม่ทันต่อบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
4.การคัดเลือกที่ปรึกษาอิสระของ กสทช. เพื่อมาพิจารณาให้ความคิดเห็นหรือจัดทำรายงานเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ กสทช. ตามกฎหมาย พบว่าคุณสมบัติของที่ปรึกษาอิสระนั้นอาจไม่มีความเป็นอิสระจริง และที่สำคัญที่สุดคือ 5. มาตรการของหน่วยงานกำกับที่จะดำเนินการในการควบคุมกำกับดูแลต่อการควบรวมกิจการครั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้การควบรวมครั้งนี้ไม่เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและประชาชน
ดังนั้น กมธ.จึงเห็นว่าถ้าหาก 5 เรื่องนี้ ยังไม่มีความชัดเจน หากยังคงมีการดำเนินการควบรวมต่อไป อาจจะส่งผลกระทบและเกิดผลเสียหายต่อประชาชนได้