นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า สบน.ได้วางแผนบริหารหนี้สาธารณะสำหรับรองรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นไว้แล้ว โดยเริ่มทยอยปรับสัดส่วนหนี้จากเงินกู้ระยะสั้นและดอกเบี้ยลอยตัว ไปเป็นเงินกู้ระยะยาวและดอกเบี้ยคงที่มากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง ป้องกันความผันผวนและต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มในอนาคต โดยปีงบ 65 สบน.มีแผนออกพันธบัตรระยะยาววงเงิน 1.1-1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีการออกพันธบัตรรัฐบาลมา และสูงกว่าปีก่อนที่ออกไป 8 แสนล้านบาท

“ระยะ 2 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เรากู้เยอะที่สุด จากการกู้เงินพ.ร.ก.กู้เงิน1.5 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาดูแลสถานการณ์โควิดฉะนั้น ปีที่แล้วเราใช้แหล่งเงินกู้ระยะสั้นเยอะมาก เพราะตอนนั้นดอกเบี้ยถูก แต่ตอนนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ต้องปรับจากดอกเบี้ยลอยตัวมาเป็นคงที่ ไม่เช่นนั้นเมื่อดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้น (ไบบอร์) ขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะเหนื่อย ซึ่งปัจจุบันประเทศมีเงินกู้ดอกเบี้ยคงที่ 83% ส่วนที่เหลือเป็นดอกเบี้ยลอยตัว”

อย่างไรก็ตาม สบน.ได้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพื่อดูว่าทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกจะเป็นขาขึ้นจริงหรือไม่ เพราะหลังจากเกิดสงคราม นักลงทุนก็ถอนการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงมาเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้นซึ่งพันธบัตรก็เป็นตราสารหนึ่งที่ปลอดภัย ทำให้ล่าสุดเริ่มเห็นว่าผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มลดลง แต่อย่างไรแล้วเชื่อว่าในระยะยาว ดอกเบี้ยคงปรับขึ้นแน่ๆ แต่จะขึ้นเร็วหรือช้าต้องรอดู

ส่วนแผนการกู้เงินในอนาคตมองว่า การกู้เงินเพื่อเยียวยาโควิดคงไม่มี เนื่องจากไม่มีการปิดประเทศ แต่หากรัฐบาลต้องการลงทุนเพื่อปฏิรูปประเทศ เพดานเงินกู้ที่กำหนดไว้ว่าไม่เกิน 70 % ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอ ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายด้วยว่า จะมีแผนกู้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างไร โดยสิ้นปีงบประมาณ 65 คาดการณ์หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 62% เพิ่มจากปัจจุบัน 59.88%   ขณะที่งบชำระหนี้ที่เป็นเงินต้นในปีงบ 65 อยู่ที่ 3%ของงบรายจ่ายประจำปี ส่วนปี 66ได้เสนอขอสำนักงบประมาณไปที่ 4% สำหรับงบชำระดอกเบี้ย ซึ่งต้องชำระเต็มตามจำนวนปีงบ 65 ตั้งไว้ 1.98 แสนล้านบาท และปีงบ 66 ตั้งไว้ 2 แสนล้านบาท