บินกลับบ้านเกิดในรอบ 2 ปี สำหรับ ซูเปอร์สตาร์เกาหลีสัญชาติไทย ขวัญใจแฟน ๆ นิชคุณ หรเวชกุล พอถึงเมืองไทยปุ๊บ “ดาวต่างมุม” เลยรีบคว้าตัวนิชคุณ มาพูดคุยกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ถึงผลงานล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง “Cracked ภาพหวาด” ที่เจ้าตัวทุ่มเทสุดตัวรวมถึงเปิดมุมมองตลอดเวลา 14 ปีในวงการ นับตั้งแต่เดบิวต์เป็นสมาชิกวง 2PM (ทูพีเอ็ม) ในสังกัด JYP Entertainment (เจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์) ที่มีทั้งความสุข ความเศร้า แต่ก็ทำให้เขาเติบโตเป็นนิชคุณแบบทุกวันนี้
บทบาทใน “Cracked ภาพหวาด” ท้าทายตัวเองอย่างไรบ้าง?
“ผมรับบทเป็น “ทิม” ครับ เป็นนักซ่อมภาพวาด ได้รับจ้างให้มาซ่อมภาพวาดที่บ้านหลังหนึ่งจึงเกิดเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้น ถือเป็นหนังสยองขวัญเรื่องแรกของผม ก่อนหน้านี้ผมจะได้รับก็จะเป็นบทใส ๆ คิดบวก ทำให้คนอื่นหัวเราะ ทำให้คนอื่นยิ้ม โรแมนติก แต่บทบาทในเรื่องนี้จะฉีกแนวออกไป จะเป็นหนังที่มีความน่ากลัว ความเครียด ความหนักในตัวของหนัง ผมคิดว่าคนเราต้องทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่ท้าทายก็จะสนิมขึ้น เหมือนกับเครื่องจักรที่ไม่ได้วิ่งอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งก็จะไม่เวิร์กแล้ว เราต้องคอยให้น้ำมันหล่อลื่น นั่นคือความท้าทายของคนที่เป็นศิลปิน นักแสดง เราต้องทำอะไรที่ท้าทายตัวเองตลอดเวลา”
บท “ทิม” ใกล้หรือแตกต่างจากตัวนิชคุณยังไงบ้าง?
“ค่อนข้างไกลตัวนะครับ อย่างที่บอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้แคร์คนอื่น เลยต่างกับผมมาก แล้วก็ไว้หนวดไว้เครา พี่ท็อป-สุรพงษ์ ผู้กำกับ เขาบอกว่า อยากใช้แต้มบุญของนิชคุณ แต่ไม่ใช้ความเป็นนิชคุณ ซึ่งผมเข้าใจว่าเขาอยากท้าทาย โดยการเปลี่ยนผมให้ไปเป็นทิม โดยที่คนดูอาจจะคิดว่านักแสดงคนนี้หน้าเหมือนนิชคุณนะ ฟังแล้วก็งงเหมือนกัน (ยิ้ม) แต่ผมทุ่มเทมาก เลยสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครออกมาไกลกับผมมากที่สุด พยายามสร้างหลาย ๆ อย่างให้เป็นเสน่ห์ของตัวละคร ก็ต้องไปดูกันว่าไปได้ไกลขนาดไหน (ยิ้ม)”
เล่าบรรยากาศการถ่ายทำ?
“การถ่ายทำสนุกมากครับ แต่ว่าเหนื่อย เพราะเป็นหนังสยองขวัญ แต่ละซีนก็มีผีโผล่มา ต้องวิ่งหนี ต้องตะโกน ข้าวของตกใส่ อย่างกับ น้องแพต-ชญานิษฐ์ ที่แสดงด้วยกัน พอคัตปุ๊บ ต้องนั่งห่างกัน เพราะเราเป็นคนขี้เล่นมาก ชอบแกล้งกัน เลยต้องใช้เวลาในการทำสมาธิ ผู้กำกับก็พยายามเค้นความรู้สึกเจ็บปวด ความกลัว ความโกรธ ตรงนั้นออกมาให้หมด พอสั่งคัตผมเคยนอนตรงนั้นเลย เพราะหมดพลังจริง ๆ แต่ส่วนตัวผมไม่เคยเจอเหตุการณ์สยองขวัญ ไม่เคยเจอผีนะครับ แต่มีความเชื่อว่ามีอยู่จริง ใจหนึ่งก็มีความคิดว่าอยากจะเจอ แต่ไม่ได้ลบหลู่นะครับ เพียงแต่เราอยากรู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ไม่จำเป็นต้องมาให้ผมเห็นต่อหน้าต่อตา โผล่มาแวบนึงก็โอเค แต่อย่าโผล่มาตอนผมนอน อย่าดึงขาผมนะ”
ผลงานอื่น ๆ ของนิชคุณ?
“หลังจากนี้ผมมีหนังฮอลลีวูดอีกเรื่องหนึ่ง ถ่ายที่ฮ่องกง น่าจะได้ดูกันภายในปีนี้ ผมพยายามท้าทายตัวเองเลยในหลาย ๆ ด้าน ก่อนผมกลับมาเมืองไทย ก็มีไปถ่ายรายการที่ประเทศจีน ไปอยู่มาประมาณ 5 เดือน ทำให้ผมค้นพบตัวเองว่า ถ้าเราพยายามก็มีอะไรให้เราเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ยังมีคนอยากให้ผมไปร่วมงานด้วย เลยพยายามสานต่อความโชคดีตรงนั้นให้เป็นชิ้นเป็นอัน”
แล้วงานเพลงเมื่อไหร่จะได้ฟังกันอีก?
“ตอนนี้เมมเบอร์ในวงยุ่งทุกคน แต่เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว เราคุยกันในกรุ๊ปแชตว่าปีหน้าใครว่างบ้าง ถ้าว่างพร้อมกัน 6 คน คัมแบ๊กไหม ไม่จำเป็นต้องมานั่งเขียนสัญญา เราคุยกันด้วยภาษาใจแล้วครับ ก็เกือบ 5 ปีแล้วเข้ากรมคนแรกปี 2017 ก็นานมาก ระหว่างที่รอเราก็ปล่อยโซโล่อัลบั้มไปด้วย โซโล่เดี่ยวไปด้วย รู้ว่าแฟน ๆ คิดถึง ก็พยายามเล่นเพลงของทูพีเอ็มเยอะ ๆ ในคอนเสิร์ต”
14 ปีในวงการบันเทิงของนิชคุณเป็นยังไงบ้าง?
“เวลาผ่านไปเร็วมากครับ เหมือนผมเพิ่งเดบิวต์เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่พริบตาเดียว 14 ปี แล้ว ถ้าคิดย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดี มีความสุข หรือว่ามีความเศร้า ความเจ็บปวด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ ผมเป็นคนคิดบวกนะครับ ในช่วงท้อก็ปล่อยให้ตัวเองท้อไป เพราะคนเราต้องมีความรู้สึกแบบนั้น แต่คิดว่าเราต้องทำให้ดีกว่านี้ แล้วก็ลุกขึ้นมาอีกที แต่เราก็มีคนที่เรารัก คุณพ่อคุณแม่ เพื่อน ๆ ในวง และแฟนคลับ ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีแรงผลักดัน มีแรงบันดาลใจว่าทำตัวเองให้ดีขึ้น ทำผลงานให้ดีขึ้น”
เป้าหมายของนิชคุณในวัย 33 ปี?
“เป้าหมายใกล้ ๆ ของผม คือ หนังเรื่องนี้ “Cracked ภาพหวาด” อยากให้หนังเป็นที่รัก ที่ชอบ ของคนที่มาดู แค่คนมาดูแล้วชอบ มีความสุข แค่นั้นก็ดีแล้วครับ ส่วนเป้าหมายของผมในวัย 33 ขอแค่มีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุข แค่นั้นเลยครับ เรื่องอื่นเราทำได้ด้วยตัวเอง เวลาอวยพรแฟน ๆ ผมก็บอกว่า สุขภาพแข็งแรง มีความสุข รวย ๆ ผมบอกอยู่แค่นี้ (หัวเราะ) อย่างสถานการณ์โควิด-19 เราก็ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ จากที่คิดว่า 3-6 เดือนจะจบ กลายเป็นแย่ลง ๆ จนตอนนี้เราใส่หน้ากากจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผมว่าสิ่งที่อึดอัดมากตอนนี้คือเราไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ”
กลับมาเมืองไทยในรอบ 2 ปี?
“ใช่ครับ ไม่ได้กลับมา 2 ปีแล้ว กลับมาก็พักให้เต็มที่แล้วค่อยกลับ กลับไปหาครอบครัว อยากไปหัวหินกับที่บ้าน แล้วก็ไปหาหลาน “น้องจินเจอร์” ด้วย เพราะตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอเลย เพราะว่าคุณแม่เขา “น้องเชอรีน” ไม่ได้พาออกมาข้างนอก แต่ก็วิดีโอคอลกันอยู่เรื่อย ๆ ครับ ก็ขู่เชอรีนไว้แล้วครับว่า ถ้าผมได้อุ้มน้องจินเจอร์ เชอรีนจะไม่ได้เจอลูกอีก (หัวเราะ) ผมจะลักพาตัวไปเลี้ยงเอง ผมเป็นคนรักเด็ก ชอบอยู่กับเด็ก ยิ่งคุณแม่ผม ยิ่งแฮปปี้มาก ส่งรูปหลานมาในกรุ๊ปแชตตลอดเวลาว่าวันนี้หลานพูดเยอะนะ วันนี้ร้องไห้เยอะ ไม่ยอมนอนนะ (ยิ้ม) เห่อมาก”
ทุกวันนี้อะไรคือความสุข?
“ความสุขของผมคือการมีชีวิตอยู่ และยังไม่ไปจากโลกนี้ ผมว่าความสุขเนี่ยเราสร้างได้ เราสามารถหาความสุขได้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ในวัน ๆ หนึ่งจะต้องมีเสี้ยวนึงที่เรามีความสุข ผมทำงานเสร็จแล้วกลับบ้านไปนั่งโซฟา นั่งเล่นเกม เหมือนเด็กคนหนึ่งที่อายุ 33 แล้ว แค่นี่ก็มีความสุขแล้วครับ”
เวลาคนเรียก นิชคุณ ว่าไอดอลไทยคนแรกในวงการ เค-ป๊อป รู้สึกยังไง?
“เป็นความจริงครับ ผมเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เป็น เค-ป๊อป ไอดอล ก่อนจะมีคำว่า เค-ป๊อป เลยด้วยซ้ำ ผมโชคดีเกิดมาในยุคนั้น ได้เดบิวต์ในยุคนั้น อย่าง แบมแบม, ลิซ่า, สร-มินนี่ ฯลฯ ที่มาเดบิวต์ที่เกาหลี น้อง ๆ ทุกคนก็ทำในส่วนของเขาให้ดีที่สุด ผมไม่ได้รู้สึกกดดัน เพราะผมก็เป็นตัวของผม ทำงานเสร็จกลับบ้าน เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทิ้งความเป็นดาราไว้กับที่ทำงาน เวลาออกไปข้างนอกอาจจะต้องดูภาพลักษณ์นิดนึง แต่ไม่เว่อร์เกินไป ไม่อย่างนั้นผมจะใช้ชีวิตยังไง ถ้าผมไม่มีชื่อเสียง และคิดว่าตัวเองเป็นดาราตลอดเวลา”
เคยอ่านสัมภาษณ์นิชคุณบอกว่าไม่ชอบคำว่าไอดอล?
“ผมว่าคำว่าไอดอล เหมือนทำให้ คนนั้น ๆ ไม่เป็นมนุษย์ ไม่สามารถทำโน่นทำนี่ได้ อย่างผมเดบิวต์มา 14 ปีแล้ว ยังโอเคนะครับ แต่เด็ก ๆ ที่เพิ่งเดบิวต์ใหม่ มีข้อจำกัดมากมายเต็มไปหมด ค่อนข้างกดดัน ถ้าเขาอายุแค่ 15-16 ปี ก็จะเติบโตมาแค่นั้น เหมือนเป็นดาบสองคม เป็นความเชื่อผิด ๆ เหมือนกัน ผมจะบอกมาตลอดว่า เราเอาคนอื่นเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างของเราได้ แต่อย่าพยายามทำตามคนที่เป็นไอดอลของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคน ๆ นั้นก็เป็นมนุษย์ อาจจะทำผิดพลาด มีความต้องการ มีความอิจฉา มีความโกรธ มีความเกลียด เพราะฉะนั้นเราเอาแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของคน ๆ นั้นมาใช้ให้เข้ากับชีวิตของเราก็พอ เพราะไม่มีใครเป็นแบบให้อีกคนหนึ่งได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
สุดท้ายอยากฝากบอกอะไรแฟน ๆ บ้าง?
“ฝากถึง Hottest ชาวไทย และทุก ๆ คนที่ติดตามผมมา 14 ปี ฟังแล้วแก่เหลือเกิน (หัวเราะ) ก็ขอขอบคุณจากใจจริง ๆ แล้วหวังว่าทุกคนจะสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 ด้วย อยากจะได้เจอกันในคอนเสิร์ต คิดถึงมาก ๆ อยากมาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยมาก ๆ ขอให้ทุกคนรอกันด้วยนะครับ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่รอกันอีกแป๊บนึง คงได้เจอกันแน่นอนครับ”.
นฤมล เเซ่เเต้ : เรื่อง