ฮอตหนักแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้นจริงๆสำหรับนักแสดงและนักร้องหนุ่มมากความสามารถ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ที่ไม่ว่าจะงานแสดงหรืองานเพลงก็ทำได้ดีและเป็นที่ถูกใจของแฟนๆหนักมาก ไหนจะความน่ารักและใจดีอีก เรียกว่าเพียบพร้อมสุดๆ งานนี้ด้วยความฮอตดังกล่าวประกอบกับ yimyim โชคดีดันมีโอกาสดีได้ร่วมฟังสัมภาษณ์ของหนุ่มบิวกิ้นในงานไลฟ์เปิดตัว WITAL IMMU-THYME ด้วย และเราก็ไม่พลาดนำบทสัมภาษณ์ดีต่อใจของเขาที่มีต่องาน มุมมองวงการบันเทิงและซีรีส์วาย รวมถึงกับคู่จิ้นคนสำคัญ พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ที่หนุ่มบิวกิ้นคอนเฟิร์มว่าเป็นคนที่เป็นมากกว่าครอบครัวด้วย ไปอยากให้เสียเวลาไปอ่านบทสัมภาษณ์ของเขากันจ้า

ช่วงนี้ชีวิตที่ผ่านมา เป็นไงบ้าง?

“มันก็อยู่บนความไม่แน่นอนครับ ช่วงที่ผ่านมาการทำงานของเราต้องปรับตัวกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา สมมติงานวันนี้มีคนติด เราก็ต้องเลื่อน มีการขยับสับเปลี่ยนตลอดเวลาอย่างนี้ ก็ยังค่อนข้างยุ่งอยู่ แต่ว่าเรื่องของตารางงานมันค่อนข้างรัดกุมมาก
ในเรื่องการเรียน ตอนนี้คือจบเรียบร้อยแล้วครับ”


ก่อนหน้านี้เหมือนมีข่าวว่าจะไม่ได้รับงานแสดงแล้ว เหมือนจะร้องเพลงอย่างเดียวใช่ไหม?

“รับครับ แต่ผมว่างานแสดงมันเป็นอะไรที่ยากกว่างานเพลง คำว่ายากคือการที่เราจะลงไปทำอะไรมันยากกว่า งานแสดงคือเหมือนเราในฐานะนักแสดงก็ต้องเจองานที่ใช่ด้วย ผมรู้สึกว่างานแสดงคืองานที่ทีมงาน หรือผู้กำกับ หรือว่างานๆนั้นอยากทำงานกับเราและเราก็ต้องตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ บวกกับเราก็ต้องอยากทำงานกับเขาด้วย มันก็เหมือนต้องเป็นสองข้างที่ซิงค์กันเราถึงมาทำงานร่วมกันได้ ซึ่งตอนที่เราทำงานการแสดงมันเป็นงานที่เราต้องใช้เวลานาน ใช้พลังกายและความรู้สึกเยอะ เราเลยรู้สึกว่ามันอาจจะมีเข้ามายากนิดนึง ต่างจากงานเพลงเพราะงานเพลงมันเหมือนเราเป็นผู้กำกับของงานเอง เราสามารถควบคุมสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอแล้วก็ลงไปเป็นนักแสดงเอง มันเลยเหมือนกับว่าจะมีไทม์ไลน์sinvอะไรต่างๆที่ชัดเจนกว่า มีไดเรคชั่นที่ชัดเจนกว่า ส่วนงานแสดงมันอาจจะต้องรองานที่ใช่ หรือว่าถูกจริตเรา ถูกจริตเขา สุดท้ายก็สปาร์คกันถึงจะได้ร่วมงานกัน แต่จริงๆก็ยังมีแพสชั่นกับงานแสดงอยู่ แล้วก็ยังรอโอกาสดีๆ ยังรอพี่ๆที่อยากร่วมงานกับเรามาชวนเราอยู่ เราก็หาโอกาสในการแสดงที่เรารู้สึกว่าเราอินอยู่ตลอดอะไรแบบนี้ครับ”


แสดงว่าบิวกิ้นเลือกมากขึ้นในการรับบทต่างๆ?

“จริงๆก็เลือกมากขึ้นไหม ก่อนหน้านี้ก็คือเลือกอยู่แล้วประมาณหนึ่ง แต่เราก็ไม่ได้ถึงกับว่า โอ้โห ยาก เล่นตัว แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราอยากทำงานที่เราอินและเรามีแพสชั่นกับมัน แล้วสุดท้ายสิ่งนี้มันจะกลับมาขับเคลื่อนเรา ทำให้เราทำมันออกมาได้อย่างดีที่สุดจากสัณชาตญาณของเรา จริงๆอย่างแปลรักฯ หรือรักสุดใจฯ หรืองานที่ผ่านมาผมก็อินทุกงานครับ ผมก็มีความสุขที่ได้ทำทุกอัน แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะมากกว่า ในช่วงนี้ที่ยังไม่มีงานไหนที่เราอาจจะเหมาะกับงานของเขาอะไรแบบนี้ จริงๆที่ผ่านมาผมก็มีไปแคสงานการแสดงบ้าง แต่ว่าเหมือนกับมันก็ยังไม่คลิกยังไม่ลงเอยกันสักทีครับ”


บิวกิ้นมองกระแสซีรีส์วายไทยตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
“จริงๆผมว่าซีรีส์วายไทยตอนนี้ก็ยังมีผลตอบรับที่ดีอยู่นะ หมายถึงว่าที่ผ่านมาซีรีส์วายก็เป็นซีรีส์ประเภทหนึ่งแหละ สำหรับผมผมว่ามันก็เป็นซีรีส์ธรรมดาประเภทหนึ่ง แต่เป็นอีก Category หนึ่งแล้วกัน ซึ่งผมว่าอย่างล่าสุดก็ยังมีซีรีส์เรื่องใหม่ๆออกมาก็ยังได้รับผลตอบรับที่ดีอยู่ ก็ยังคิดว่าก็ดีนะครับ ยังเป็นตลาดที่ยังน่าสนใจและยังคึกคักกันอยู่”


รู้สึกยังไงที่คนก็อยากให้เรากลับมาเล่นซีรีส์วาย มองยังไงบ้าง?

“จริงๆผมไม่ได้ปิดกั้นนะ ผมรู้สึกว่าการแสดงมันเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ถ้าเกิดว่ามันมีโอกาสที่เข้ามาแล้วมันเป็นจังหวะที่มันท้าทายสำหรับเรา มันปลุกไฟในตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเฮ้ยเราอยากจะลงไปมีส่วรร่วมในงานนี้ ผมจะใช้คำว่าเวลาเราทำงานแสดงรวมถึงทุกๆงาน เวลาเราทำงานอะไรเราเหมือนถวายชีวิตให้มัน เราเต็มที่ให้มัน เราเอาทั้งกายทั้งใจลงไปทำมันจริงๆอะไรแบบนี้ ผมว่าเรายังไม่เจองานที่คลิกกันทั้งสองฝั่งมากกว่า ซึ่งผมไม่ได้จำกัดนะว่าจะเป็นวายหรือไม่เป็นวาย ถ้าเป็นวายแล้วสุดท้ายมันคลิกเรา มันสามารถกระตุ้นเราได้ผมก็ทำ หรือถ้างานที่ไม่ใช่วายผมก็ทำเหมือนกัน ผมไม่ได้แบ่งแยกว่าอันนี้ทำอันนี้ไม่ทำขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าอะไรแบบนี้ครับ”


กระแสของบิวกิ้นพีพีหน่อย ล่าสุดแฟนๆก็ร่วมแสดงความยินดีครบรอบ 5 ปีกันของเราทั้งคู่ ได้เข้าไปดูแฮชแท็กบ้างไหม?

“ยังไม่ได้ดูเลยครับ ผมไม่ได้เล่นทวิตเตอร์ไง(ยิ้ม)ส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็คือมีคนส่งมาให้ดูอะไรแบบนี้”

อย่างเรื่องที่ไปออกรายการหนึ่งแล้วพูดว่า ถ้าเราไม่มีพีพีเราอาจจะมาไม่ถึงจุดนี้เลยก็ได้ ความรู้สึกเราทำไมคิดแบบนั้น?

“ผมเรียกว่าผมกับพีพีเริ่มการทำงานตรงนี้มาด้วยกันแล้วกัน เรารู้จักกันมาก่อนที่เราจะเริ่มเข้ามาสู่วงการนี้ เรารู้สึกว่าเราเริ่มพร้อมกัน แล้วผมรู้สึกว่ามันพิเศษตรงที่มันน้อยคนที่มีสเต็ปการเดินทางในการทำงานเคียงข้างกันมาตลอด สำหรับผมกับพีพีคือผมรู้สึกถึงสิ่งนั้น ไม่ว่าการจะมีโอกาสได้ทำอะไรใกล้ๆกัน มีโอกาสได้เล่นซีรีส์พร้อมกัน ต่อยอดมาใกล้ๆกัน เติบโตประสบความสำเร็จมาพร้อมๆกัน แล้วผมรู้สึกแฮปปี้มากเพราะเหมือนเราซัพพอร์ตกัน เราสอนกัน เหมือนกับว่ามันมีหลายๆที่เราเห็นวิธีการรับมือกับปัญหาของกันและกัน แล้วเราก็เรียนรู้จากการกันและกัน รวมถึงเราก็ช่วยเหลือกัน มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าการมีพีพีตลอดการเดินทางที่ผ่านมาจนมาถึงตรงนี้ มันทำให้ผมพัฒนาและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพที่ผมคิดว่ามากกว่าการที่ผมเดินคนเดียว ผมถึงบอกว่าถ้าไม่มีพีพีมันอาจจะไม่มีผมที่เป็นผมตอนนี้ เพราะว่าเราช่วยเหลือกัน และเราสอนกัน เราเรียนรู้จากกันและกันมาตลอดครับ”


แล้วจะจับมือกันแบบนี้ตลอดไหม?

“ผมว่ามันเป็นเรื่องของโอกาสด้วย ผมหมายถึงว่าที่ผ่านมาด้วยนะครับ หมายความว่าที่ผ่านมามันอาจจะเป็นเรื่องที่ว่าเรามีโอกาสได้เข้ามาทำงานด้วยกัน เรามีโอกาสที่ต่อยอดอะไรต่อมาเรื่อยๆพร้อมๆกัน ผมไม่แน่ใจว่าในอนาคตเรายังมีโอกาสได้ทำงานต่อไปด้วยกันอีกไหม หมายถึงว่าในอนาคตมันอาจจะเป็นโอกาสของพีพีคนเดียว หรือมันอาจจะเป็นโอกาสของผมคนเดียว เราอาจจะมีโอกาสของแต่ละคนที่ต่างไป แต่หมายถึงว่าสุดท้ายผมรู้สึกว่าในเรื่องของความเป็นส่วนตัวเราก็ยังสนิทกัน เรายังซัพพอร์ตกัน เราก็ยังช่วยกันทุกเรื่อง คุยกันทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ แล้วก็เรียนรู้ซัพพอร์ตกันได้เหมือนเดิม แต่ในเรื่องของาน อย่างที่ผมบอกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของเรา มันเป็นเรื่องของคนอื่นๆที่ทำงานกับเราว่าเขายังเห็นภาพหรือไดเรคชั่นการทำงานที่เรายังไปด้วยกันแบบนี้อยู่หรือเปล่าอะไรแบบนี้ครับ”

บิวกิ้นกังวลไหมถ้าเกิดว่าต่างคนต้องต่างไป มันอาจจะทำให้ความรู้สึกหรือแพสชั่นในการทำงานลดลง?

“ผมว่ามันก็มีส่วนนะจริงๆแล้ว หมายความว่าในอีกมุมหนึ่งเราก็รู้สึกว่า ความพิเศษของผมคือผมรู้สึกว่า ถ้าในวันหนึ่งผมมีโอกาสได้ไปพีพีเขาจะดีใจกับผม ถ้าวันหนึ่งพีพีมีโอกาสได้ไปผมก็จะดีใจกับพีพี เราไม่ได้แข่งกันน่ะครับ เราซัพพอร์ตกัน เราอาจจะโหวงนิดนึงตอนที่เราไปทำงานคนเดียว แต่ผมรู้สึกว่าสุดท้ายคือไม่ว่าใครจะเติบโตไปทางไหนเราต่างซัพพอร์ตกันและกัน แล้วก็สนับสนุนกันและกันให้ต่างคนมีทางที่ดีที่สุดของตัวเองเสมอ”

ส่วนใหญ่บิวกิ้นตอบว่าพีพีเป็นมากกว่าครอบครัว จนไม่มีคำนิยามเพราะว่าเป็นอะไรที่พิเศษมาก?

“ผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วในชีวิตเราผมเชื่อว่าเรามีชีวิตหลายแง่มุม เราอาจจะมีสังคมเพื่อน สังคมการทำงาน สังคมครอบครัว เรามีหลายๆสังคมในชีวิต แต่สำหรับผมคือที่ผมบอกว่าพีพีเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน เป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าครอบครัว คือเขาอยู่ในหลายๆสังคมของผมมากๆ จนแทบจะเข้าใจชีวิต แล้วเรารู้จักกันมาก หมายถึงว่าเขาทำงานกับผม เขามีชีวิตส่วนตัวที่สนิทกับผม เขารู้จักกับที่บ้านผม ผมรู้จักกับที่บ้านเขา เราเป็นเหมือนครอบครัวกันและกัน จริงๆมันเลยเป็นเหมือนทำให้พีพีเป็นมากกว่าครอบครัว คือเขาเป็นหลายๆอย่างในชีวิตผมมากๆ เพราะว่าเขาเข้าใจในชีวิตผมมากๆ ผมถึงบอกว่าจริงๆแล้วถ้าเกิดว่าชีวิตเรามันเป็นวงกลมวงหนึ่งที่เราอาจจะไปเหลื่อมกับวงกลมของคนอื่นในสังคมของคนอื่น วงกลมของผมกับพีพีมันเหลื่อมกันเยอะมาก ผมถึงบอกว่าพีพีพิเศษกับผมมากในเชิงของความเป็นตัวตน”

บิวกิ้นไม่มีคำจำกัดความเลยจริงๆเหรอในเรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคน?

“ไม่มีครับ จริงๆผมก็ไม่รู้ คือผมไม่เคยพยายามหาคำตอบด้วยนะจริงๆแล้ว ผมไม่รู้สึกว่าเราต้องนิยามกันว่าเราเป็นอะไร เราต้องเป็นแค่เพื่อนหรือเราต้องเป็นครอบครัวหรืออะไร คือมันก็เข้าข่ายหลายๆอัน แต่ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์สักอันจนผมไม่รู้ว่าผมจะนิยามมันว่าอะไร คือบอกได้ว่าเขาก็เป็นเหมือนครอบครัว เป็นมากกว่าครอบครัว เป็นหลายๆอย่าง อย่างที่ผมบอกว่าเขามีความสำคัญกับชีวิตผมมากๆครับ”

ถามถึงเรื่องสัญญากับทางนาดาว หลายคนสงสัยมาก เพราะช่วงนี้สัญญาของเรากับทางนาดาวก็ใกล้จะหมดแล้ว เราได้คิดแพลนไว้ไหมว่าจะอะไรยังไง?

“จริงๆผมไม่ได้มีแพลนไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่นาดาว มีแพลนที่จะอยู่ที่นาดาว คือยังไม่มีแพลนออก ก็ยังอยู่แล้วก็รอ คือจริงๆก็มีคุยกับพี่ๆผู้ใหญ่ตลอดเรื่องของการวางไดเรคชั่น ว่าในปีนี้เรามีทำอะไรอีก เราจะมีงานอะไร เราจะวางไดเรคชั่นการเป็นศิลปินของเรายังไง พี่ๆก็คอยช่วยซัพพอร์ตเราทั้งในเรื่องของการเป็นนักแสดง การเป็นศิลปิน รวมถึ่วยดูภาพลักษณ์ของเราในเรื่องของการทำธุรกิจด้วย นาดาวเหมือนเป็นครอบครัวคอยดูแลชีวิตผมครับ เรามีอะไรเราก็ไปปรึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือไม่ใช่เรื่องงานเขาก็จะคอยช่วยดูภาพรวมเราให้ด้วยอะไรแบบนี้ครับ”


ได้คุยกับพีพีไหมเรื่องสัญญาของเรา?

“ก็มีคุยบ้างครับ”


ผู้ใหญ่เรียกคุยเรื่องสัญญาไหม?

“จริงๆคุยแยกกันครับ เพราะจริงๆสัญญาหมดไม่พร้อมกัน”


แสดงว่ามีการคุยเรื่องต่อสัญญาไปแล้วใช่ไหมบิวกิ้น?

“ใช่ครับ ของผมต่อไปแล้ว”


งั้นปีนี้เป้าหมายของบิวกิ้น ณ วันนี้คืออยากทำอะไร อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักแสดง?

“ณ วันนี้ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขกับหลายๆอย่างมาก หมายถึงว่าตัวผมเองแบบมีความสุขทั้งทำงานแสดง ถามว่าทำงานแสดงมีความสุขไหมคือผมมีความสุขมากนะ หมายถึงว่าทำแปลรักฯเนี่ยมันเป็นความสุขในแบบที่ไม่รู้ว่าชีวิตเราจะมีโอกาสได้ทำงานแสดงแล้วมีความสุขแบบนี้อีกไหม ซึ่งก็ยังอยากทำอยู่ ยังอยากทำงานแล้วมีความสุขแบบนั้นอีก หรือมีความสุขในอีกแบบหนึ่งอีก แต่ว่าเป็นความสุขจากการทำงานแสดงอะไรแบบนี้ แต่ว่าอย่างที่บอกคือผมว่ามันยาก เราก็ยังรออยู่ว่ามีงานอะไรที่มันจะมาปลุกไฟมากระตุ้นเราได้อีกครั้ง”

“งานเพลงผมก็ยังแฮปปี้มากๆ การทำเพลงผมรู้สึกว่ามันเป็นศิลปะการสื่อสารคนละแบบ เพลงมันเหมือนเราเป็นผู้กำกับ เราลงไปเขียนเรื่องราวของตัวเราเองได้เต็มที่ มันเป็นโจทย์ของเรา มันเป็นเรื่องราวของเรา ส่วนการทำธุรกิจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือผมโตมาในครอบครัวที่บ้านเราก็ทำธุรกิจ รวมถึงผมก็เรียน Business School เราก็จะเรียนเกี่ยวกับอะไรที่เป็นการทำธุรกิจ คือทั้งสามอย่างผมรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญคือการที่เราขับเคลื่อนการทำสิ่งนี้ด้วยความสุข คืออย่างแม้กระทั่งธุรกิจที่แม้มันจะถูกนิยามด้วยคำว่าธุรกิจ แต่ผมรู้สึกว่าผมยังมีแพสชั่นที่จะทำมันแล้วก็มีความสุข การประสบความสำเร็จของผมมันไม่ใช่ตัวเลข แต่มันคือความรู้สึกที่เราได้ทำสิ่งนี้แล้วเราได้ความรู้สึกนี้กลับมาแล้วเรามีความสุข ผมมองอะไรแบบนี้มากกว่า”

แหม…ได้คุยกับหนุ่มบิวกิ้นแบบใกล้ชิดและเห็นเลยว่ามุมมองและทัศนคติของเขาดีมากๆ ใครที่รักเขาอยู่แล้วก็ซัพพอร์ตกันไปยาวๆเลยจ้า และถ้าใครเพิ่งรู้จักเขา ติดตามเขาได้เลยแล้วจะรู้ว่าเขาน่ารักมากๆ


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย “yimyim”

ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม bbillkin