ในยุคที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในทั่วทุกภาคของประเทศไทยและยุคของเชื้อโคโรนาไวรัสโควิด-19 ระบาด ทำให้คนไทยต้องใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับสภาพภูมิอากาศ และฝุ่นละอองในอากาศ ที่มีมลภาวะเป็นพิษ ซึ่งจากสาเหตุดังกล่าว ส่งผลทำให้โรคทางทรวงอกนับเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นตามมา โดยตามสถิติของสมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทยในปี 2563 พบว่ามีผู้ป่วยได้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดโรคในช่องทรวงอกมากกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ
ซึ่งในทรวงอกนั้น ย่อมประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่หัวใจ ปอด หลอดอาหาร หลอดลม รวมถึงเส้นเลือดที่สำคัญอีกมากมาย หากเราเกิดอาการผิดปกติ อาการต่าง ๆ มักจะแสดงออกมาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแต่ละโรค ดังนั้นการรักษาให้ถูกจุด เช่น การตรวจหาสาเหตุของโรคทรวงอก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องรับรู้และเลือกที่จะรับการรักษา ซึ่งก็คือ “การผ่าตัด”..
โดย นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า วิธีการผ่าตัดในอวัยวะช่องทรวงอกนั้น ตามมาตรฐานยังคงเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งทำการผ่าตัดโดยการใช้อุปกรณ์ไปถ่างซี่โครงบริเวณซี่ที่ 5 โดยแผลผ่าตัดขนาดประมาณ 15-20 เซนติเมตร เพื่อเข้าไปทำการผ่าตัดในบริเวณช่องทรวงอก ข้อดีคือ สามารถเห็นชัดและการผ่าตัดทำได้ง่ายและวิธีนี้เราจะสามารถโยกซ้ายหรือโยกขวาและเห็นมุมต่าง ๆ ได้มากกว่า เนื่องจากเป็นแผลผ่าตัดที่เปิดขนาดใหญ่ ส่วนข้อเสีย คือ อาจส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหรือซี่โครงหัก หรือทำให้เกิดการระคายเคืองของเส้นประสาทที่อยู่บริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ยังทำให้มีแผลเป็นขนาดใหญ่ มีโอกาสเสียเลือดมาก มีอาการเจ็บปวดหลังได้รับการผ่าตัดและผู้ป่วยต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน
ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ มีการพัฒนามากขึ้น รวมถึงมีศัลยแพทย์ที่มีความสามารถในการผ่าตัดมากขึ้น ส่งผลทำให้วิธีการผ่าตัดมีการพัฒนาไปมากเช่นเดียวกันโดยแนวทางการรักษาโรคปอดและทรวงอกนั้น เปลี่ยนจากการผ่าตัดแบบเปิดเป็นการผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเดียว (Uniportal video assisted thoracoscopic srugery; VATS) โดยใช้เลนส์ยาวร่วมกับอุปกรณ์ผ่าตัดแบบเฉพาะผ่าตัดผ่านช่องซี่โครงบริเวณที่ 4 หรือ 5 โดยไม่มีเครื่องถ่างขยาย โดยมีขนาดแผลประมาณ 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น ส่งผลทำให้ผู้ป่วยหลังผ่าตัด มีอาการเจ็บลดลง แผลเล็ก ฟื้นตัวได้ไวและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ได้เร็วขึ้น ซึ่งผลของการผ่าตัดนั้น จะไม่มีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด
สำหรับ 10 โรคเกี่ยวกับทรวงอก ที่สามารถทำการผ่าตัดโดยการส่องกล้องแบบแผลเล็ก ได้แก่
- โรคมะเร็งปอด (Lung cancer)
- โรคเนื้องอกในปอด (Benign lung nodule)
- โรคลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด หรือ ลมรั่วขณะมีประจำเดือน (Spontaneous or Catamenial pneumothorax)
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia gravis)
- โรคเนื้องอกของต่อมไทมัส (Thymoma)
- โรคหนองในปอด (Empyema thoracic)
- โรคน้ำขังในเยื่อหุ้มหัวใจหรือช่องอก (Malignant Pericardial effusion, Maliganant Pleural effusion)
- โรคเหงื่อออกที่มือ (Palmar hyperhidrosis)
- โรคอกบุ๋ม (Pectus excavanatum)
- โรคถุงน้ำในช่องทรวงอก (pericardial cyst, bronchogenic cyst, esophageal cyst)
อย่างไรก็ตามการผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้องนั้น สิ่งที่สำคัญคือผู้ป่วยจะต้องมีการเตรียมพร้อม ประกอบด้วย
1. ต้องหยุดกินยาบางชนิดก่อนก่อนผ่าตัด เช่น แอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด
2. หากผู้ป่วยสูบบุหรี่ต้องเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัด
3. หมั่นออกกำลังกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด
4. ฝึกการหายใจด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า สไปโรมิเตอร์
5. หลีกเลี่ยงการกินหรือดื่มหลังเที่ยงคืนก่อนการผ่าตัด
6. ผู้ป่วยบางรายต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น เอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูหัวใจและปอด, ตรวจ CT Scan หัวใจและปอดและการตรวจ PET/CT Scan เพื่อค้นหาเนื้อเยื่อมะเร็ง
ทั้งนี้ “การผ่าตัดส่องกล้อง ( VATS)” นั้น สามารถทำการผ่าตัดได้ในโรคที่กล่าวมาข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับดุลพินิจศัลยแพทย์เป็นหลักและตามความสามารถของศัลยแพทย์ทรวงอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้อง การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ข้อห้ามคือ ผ่าตัดซ้ำซ้อน เช่น ตัดต่อเส้นเลือดหรือมีก้อนที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 7 เซนติเมตร สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านทรวงอก ยิ่งรักษาได้เร็ว โอกาสหายขาดก็ยิ่งสูงขึ้น…
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”