นายรังสรรค์ จันทร์นฤกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า เอ็นที ได้ร่วมลงนาม กับ บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) ในสัญญาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบแพลตฟอร์มในการบริหารจัดการพื้นที่มีบริเวณกว้างขวางกว่า 500 ไร่ของซาฟารีเวิลด์ โดยเอ็นที เชื่อมั่นว่าการวางระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเลือกนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมมาใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในการบริหารจัดการ ภารกิจของซาฟารีเวิลด์เอง และเพิ่มความสะดวกสบาย ตลอดจนสร้างความประทับใจ สำหรับผู้เข้าชมสวนสัตว์ไปพร้อม ๆ กัน

“เอ็นทีมีความพร้อมในการนำโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ที่มีอยู่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปรับเปลี่ยนซาฟารีเวิลด์ให้พร้อมในการเป็นอาณาจักรแห่งความสุข เป็นแหล่งเรียนรู้ อนุรักษ์และขยายพันธุ์สัตว์นานาชนิดของประเทศ ตามความมุ่งหมาย ที่ซาฟารีเวิลด์วางไว้  โดย เอ็นที มีโครงข่ายและเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองการใช้งาน ในองค์กรขนาดใหญ่ในรูปแบบ Total Solution พร้อมด้วยระบบคลาวด์ที่เป็นคลังเก็บข้อมูล ขนาดใหญ่ที่มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย รวมทั้งระบบซิสเต็มแพลตฟอร์ม ที่ช่วยให้การจัดการต่าง ๆ เป็นระเบียบ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริม การดำเนิน ธุรกิจให้แก่ซาฟารีเวิลด์อีกด้วย”

ทั้งนี้ความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของซาฟารีเวิลด์ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาสวนสัตว์แนวใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดูแลและบริหารจัดการสวนสัตว์ ทั้งในส่วนของการดูแลสัตว์ ระบบ CCTV และการให้บริการต่าง ๆ  อาทิ บริการขายบัตรเช้าชม E-Ticket บริการถ่ายภาพที่ระลึก บริการ Cashless รวมถึงการกระจายสัญญาณ WiFi โดยไม่คิดค่าใช้บริการแก่ผู้เข้าชมสวนสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ซาฟารีเวิลด์ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าชมมากขึ้นในการเยี่ยมชมสวนสัตว์ทั้งหมด

นายฤทธิ์ คิ้วคชา กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ซาฟารีเวิลด์มุ่งพัฒนาการบริหารจัดการทั้งหมดในแบบ Digital Transformation โดยจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ของซาฟารีเวิลด์ ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 500 ไร่ ที่มีสัตว์หลากหลายชนิดและมีพนักงานกว่า 1,000 คน  ดังนั้นการที่ซาฟารีเวิลด์ร่วมกับ เอ็นที ที่มีโครงข่ายระบบสื่อสารและเทคโนโลยีที่หลากหลาย และมีความพร้อม จะช่วยให้ซาฟารีเวิลด์สามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ การวางระบบโครงข่าย WiFi และ 5G, การจัดการด้านระบบบัญชี และระบบการตลาด รวมถึงระบบเชื่อมโยงข้อมูลในการติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว ระหว่างสำนักงานทั้ง 8 แห่งภายในพาร์ค รวมถึงบริษัทลูกที่ภูเก็ต

“ในอนาคตจะมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในงานสัตวบาล เช่น ระบบ Tracking Device System สำหรับเก็บข้อมูลสัตว์แต่ละชนิด เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพของสัตว์อย่างใกล้ชิด และยังมีแผนการทำระบบจองร้านอาหารภายในสวนสัตว์ ระบบจองที่นั่งสำหรับการดูโชว์ในแต่ละรอบผ่านระบบออนไลน์ ไปจนถึงการใช้ Cashless System เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังมีอีกบริการหนึ่งที่คาดว่าจะได้รับความนิยมคือการนำเทคโนโลยี เช่น Virtual Reality และ Augmented Reality ผสมผสานกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง เพื่อให้ผู้เข้าชมซาฟารีเวิลด์สามารถถ่ายรูปทีเดียวได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในสวนสัตว์และแชร์ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทันที”