ความไว้วางใจ ความยืดหยุ่นในการทำงาน และการมีส่วนร่วม (Inclusivity) : สามปัจจัยพื้นฐานใหม่สำหรับองค์กรหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการ์โควิด-19 ทำให้การขับเคลื่อนสู่ดิจิทัล รูปแบบสถานที่ทำงาน ตลอดจนองค์ประกอบของแรงงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลของ Gartner ระบุว่า ภายในสิ้นปี 2564 แรงงาน 3 ใน 10 คนจะทำงานทางไกลจากนอกออฟฟิศ ในขณะที่ 51% ของพนักงานทั้งหมดจะทำงานในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด โดยทำงานจากที่บ้านอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งผลสำรวจกับพนักงานของเอสเอพีก็เป็นในทิศทางเดียวกัน พบว่าพวกเขาต้องการที่จะทำงานแบบไฮบริดและเลือกสถานที่ทำงานในอนาคตได้ โดยกว่า 80% ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ทั้งนี้ ลักษณะงานในอนาคตจะต้องการทักษะและความสามารถที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เช่น ทักษะด้านเทคโนโลยี และ Soft Skill เพื่อให้พนักงานทำงานได้
เอทูล ทูลิ กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “ความไว้วางใจ ความยืดหยุ่น และการมีส่วนร่วม จะกลายเป็นสามปัจจัยพื้นฐานสำหรับองค์กรในการออกแบบและทบทวนนโยบายการทำงานให้สอดคล้องกับความคิดเห็นของพนักงานและปรับปรุงเส้นทางการทำงานของพนักงาน ในส่วนของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จำเป็นต้องปรับรูปแบบการทำงานเพื่อผันองค์กรให้กลายเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยบุคลากรมากขึ้น โดยที่ประสบการณ์ของพนักงานและการจัดการประสบการณ์เฉพาะบุคคลจะเป็นสองปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร เอสเอพีเองเมื่อเห็นเทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนไป เราจึงได้เริ่มพัฒนาโมเดลการทำงานล่าสุดที่ชื่อว่า ‘Pledge to Flex’ และนำมาปรับใช้ทั่วทั้งองค์กรเพื่อปฏิวัติวิธีการทำงานของเราให้มีความยืดหยุ่น สร้างความน่าเชื่อถือให้กับพนักงานได้ และขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมรับมือกับอนาคต”
“ในโลกการทำงานปัจจุบันพนักงานจะมีความเป็น Digital Native หรือมีความรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น ทำให้พวกเขาเริ่มคาดหวังให้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ HR มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเทคโนโลยีจะเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการบรรลุแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นของเรา ที่ผ่านมาเราได้ใช้ซอฟต์แวร์ Qualtrics เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากพนักงานและโซลูชั่น SAP SuccessFactors เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับพนักงาน ในส่วนของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนจากหลังบ้าน เราใช้แพลตฟอร์ม Cloud HR ที่เชื่อมต่อผสานกับการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะต่าง ๆ เช่น Robotic Process Automation (RPA), แมชชีน เลิร์นนิ่ง, และ Cognitive Agents เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งทำให้การให้บริการด้าน HR ของเราทำได้ในเสกลที่ใหญ่ขึ้นและพัฒนาบริการที่มี Human Touch เข้าใจความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไปได้มากขึ้น” เอทูล กล่าวเสริม
อุษา คงถาวรวงศ์ HR Business Partner ของ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการพัฒนาบุคลากรของเราให้มีความสามารถสอดรับกับการทำงานในอุตสาหกรรมนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าศักยภาพของบุคลากรและอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทยยังพัฒนาไปได้อีกไกล เรากำลังเตรียมความพร้อมให้บุคลากรของเรามีศักยภาพเพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นด้วยโมเดลการทำงานรูปแบบใหม่”
ด้วยโมเดลการทำงานล่าสุด พนักงานของเอสเอพี จะสามารถทำงานจากระยะไกล หรือในสำนักงาน หรือทั้งสองรูปแบบผสมผสานกันและมีตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สำนักงานจะถูกดีไซน์ใหม่เพื่อช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ สร้างการทำงานเป็นทีม และดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละคอมมูนิตี้ของคนในองค์กร รวมถึงลักษณะของงานที่พนักงานต้องทำ ทำให้พนักงานมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับทุกงาน นอกจากนี้องค์กรยังให้ความสำคัญกับสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับอาคารสำนักงานทุกแห่ง
ในปีนี้ เอสเอพี ประเทศไทย ได้คว้ารางวัล “สุดยอดองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย” (Best Company to Work for in Asia Awards 2021) จาก HR Asia ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ด้วยความสำเร็จที่สั่งสมมายาวนานในฐานะองค์กรนายจ้างดีเด่น รางวัลนี้ได้เข้ามาตอกย้ำความแข็งแกร่งของเอสเอพี ในฐานะองค์กรที่น่าทำงานด้วย
“รางวัลนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในเส้นทางขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับคนในองค์กรมาเป็นอันดับแรก เมื่อเรานำรูปแบบการทำงานใหม่ที่เรียกว่า ‘Pledge to Flex’ มาใช้ เราต้องการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมมากขึ้น โดยสร้างสถานที่ทำงานที่พนักงานไว้ใจได้ ทำให้พนักงานสามารถพัฒนาทักษะและทำงานได้ดีที่สุดในแบบของตนเอง รวมถึงมีสถานที่ทำงานที่รู้สึกปลอดภัยในการทำงาน” อุษา กล่าวสรุป