เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล  แถลงว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ชนิด เข็ม 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค และเข็ม 2 เป็นแอสตราเซเนกา โดยห่างจากเข็มแรกนาน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชนโดยทันที ก็คือ ทำไมรัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้วัคซีนสูตรผสมระหว่างวัคซีนซิโนแวค และแอสตราเซเนกา ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้ให้ข่าวว่าเป็นการตัดสินใจใช้เป็นครั้งแรกในโลก โดยที่ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ทำอย่างเป็นระบบ และตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการในระดับนานาชาติ ที่มากเพียงพอ และเมื่อเทียบเคียงกับประเทศอังกฤษ ที่ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนหลัก และมีโรงงานผลิตวัคซีน เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็ปรากฏว่าที่ประเทศอังกฤษ โดยคณะกรรมการร่วมด้านการให้วัคซีนและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ได้เสนอแนะต่อสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ ให้ใช้การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม โดยร่นระยะเวลาเข็มที่ 2 ให้เร็วขึ้นจาก 12 สัปดาห์เป็น 8 สัปดาห์ ในการรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีโรงงานผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกาตั้งอยู่ภายในประเทศเหมือนกัน

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยแจ้งกับประชาชนไว้เองเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ว่าจะไม่ยอมให้รีบร้อนฉีดวัคซีนที่ยังทดสอบไม่ครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง ดังนั้นเพื่อความรอบคอบ ตนจึงมีนโยบายสำคัญ คือ ต้องมั่นใจก่อนว่า วัคซีนนั้นปลอดภัย จึงจะนำมาใช้กับคนไทยได้ ซึ่งนายอนุทิน  ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ว่าการเอาคนไทยมาเป็นผู้ถูกทดลองวัคซีน ไม่เคยอยู่ในหัวของ รมว.สาธารณสุข คนนี้  

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในประเด็นเรื่องความกังวลว่า ประเทศไทยจะได้รับการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา ไม่ครบตามแผนการจัดหาวัคซีน 61 ล้านโด๊ส  ซึ่งเมื่อเช้าวันนี้ วันที่ 15 ก.ค. ก็เพิ่งได้ทราบความจริงจากนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ว่า วัคซีนแอสตราเซเนกา 61 ล้านโด๊ส ตามแผนที่ต้องส่งมอบให้ประชาชนคนไทยภายใน ธ.ค. 64 มีความเป็นไปได้ที่จะถูกขยายออกไปเป็นเดือน พ.ค. 65 และนายสาธิต ยังแจ้งเพิ่มเติมอีกด้วยว่าแอสตราเซเนกาจะส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทยในอัตรา 40% ของกำลังการผลิต ซึ่งก็คือ ราวๆ 6 ล้านโด๊สต่อเดือน ซึ่งก็ไม่เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโด๊ส ตามที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นเอาไว้กับประชาชน นอกจากนี้นายสาธิตยังกล่าวยังกล่าวอีกด้วยว่า ในสัญญาไม่ได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบ แต่อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วแม้ว่าจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการส่งมอบเอาไว้ในสัญญา แต่ก็ต้องระบุถึงแผนประมาณการการส่งมอบ ซึ่งไม่มีไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำเอาแผนประมาณการการส่งมอบนั้น มาชี้แจงให้กับประชาชนคนไทยทราบ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า คำถามที่ยังกึกก้องอยู่ในหัวใจของประชาชนคนไทยทุกคน ในตอนนี้ก็คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จึงไม่พยายามที่จะจำกัดการส่งออกวัคซีน เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับ ทั้งๆ ที่นายอนุทิน เคยบอกเอาไว้ชัดว่า จะไม่มีวันที่คนไทยจะถูกตัดคิว ไม่มีวันที่จะมีคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือคนไทย และจากการให้สัมภาษณ์ของ นายสาธิต ก็ไม่ได้แสดงความมั่นใจเลยว่าจะบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน ในการจำกัดการส่งออกได้หรือไม่ และเมื่อผมมาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับสัญญาวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ได้รับมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็พบเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเอกสาร Letter of Intent ซึ่งเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงก่อนการทำสัญญา รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยนายอนุทิน ได้ไปลงนามเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 63 ย้ำว่า วันที่ 12 ต.ค. 63 โดยในหัวข้อที่ 1. ข้อย่อย C. ระบุเอาไว้ชัดเจนแปลได้ใจความว่า ได้ตกลงในหลักการส่งออกวัคซีนโดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการหารือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และแอสตราเซเนกา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ต้องตอบประชาชนว่า ทำไมถึงไปแสดงเจตจำนงในการทำสัญญาอย่างนั้น ไปตกลงในหลักการส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัดได้อย่างไร

“แล้วเงื่อนไขการอุดหนุนวงเงิน 600 ล้านบาทให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยมีเงื่อนไขว่าแต่มีเงื่อนไขจำกัดการส่งออก และจะได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนเป็นอันดับแรกตามความต้องการ ที่เหลือจึงนำไปส่งออก เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 63 นั้นไม่มีความหมายเลยหรืออย่างไร และเมื่อรู้ทั้งรู้อย่างนี้แล้ว ยังกล้าลงนามในสัญญาทุนอุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 63 ได้อย่างไร” นายวิโรจน์ กล่าวและว่า ที่สำคัญตกและประชาชนอยากรู้ที่สุด ก็คือประโยคที่ระบุว่า “รัฐบาลไทยสามารถจำกัดสิทธิการส่งออก และจะได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนเป็นอันดับแรก วัคซีนที่เหลือจึงจะนำไปส่งออกได้” อยู่ในสัญญาหรือไม่ และสัญญาที่ได้รับมอบมาในตอนนี้ คือ สัญญาวัคซีน 26 ล้านโด๊ส แล้วอีก 35 ล้านโด๊ส นั้นอยู่ในสัญญาฉบับไหน หรืออยู่ในส่วนที่ถูกถมดำตรงบรรทัดไหน และถ้าไม่มีเงื่อนไขที่ประชาชนคนไทย มีสิทธิซื้อวัคซีนได้ก่อนเป็นอันดับแรก อยู่ในสัญญา ก็ต้องถามว่า แล้วในวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา นายอนุทินไปพูดให้คำมั่นกับประชาชนว่าว่า “วัคซีนของเราจะไม่มีวันถูกตัดคิว ไม่มีวันที่จะมีคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือของเรา เพราะผลิตอยู่ในบ้านของเรา” ได้อย่างไร นี่เป็นการโกหกพี่น้องประชาชนกลางสภา หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลต้องชี้แจงให้กับประชาชนรับทราบ และคำถามที่สำคัญมากๆ ก็คือ นี่เป็นการทำสัญญาที่ยอมให้เขามาผลิตวัคซีนในประเทศไทย ทั้งๆ ที่รู้แต่แรกว่าไม่สามารถจำกัดการส่งออกได้ใช่หรือไม่ นี่คือ คำถาม และข้อสงสัย ที่รอการยืนยันข้อเท็จจริงจากรัฐบาล.