ไมเคิล คาร์ริค ทำหน้าที่กุนซือขัดตาทัพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างยอดเยี่ยม และส่งไม้ต่อให้กับ ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมคนใหม่ ด้วยชัยชนะ 3-2 เหนือ อาร์เซนอล

เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกตัวไม่ดีนัก เมื่อโดน “ปืนใหญ่” บุกมานำไปก่อน 1-0 จากประตูของ เอมิล สมิธ โรว์ ที่ซัดผ่าน ดาบิด เด เคอา ที่นอนกองอยู่กับพื้นหลังโดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่าง เฟร็ด เหยียบข้อเท้านั้น เข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 13

กระนั้นก็ต้องชมหัวจิตหัวใจของนักเตะตราปิศาจถือ 3 ง่ามที่ไม่ยอมฝ่อง่าย ๆ และเปิดเกมไล่บดใส่ “ปืนใหญ่” จนตามทวงประตูตีเสมอ 1-1 ได้จาก บรูโน แฟร์นันด์ส ในนาทีที่ 44 ก่อนจะแซงขึ้นนำ 2-1 จาก คริสเตียโน โรนัลโด ในนาทีที่ 52 ซึ่งนับเป็นประตูที่ 800 ในอาชีพนักเตะของเจ้าตัวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ดีใจได้ไม่นานสาวก เรด อาร์มี ในสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ต้องเงียบเสียงลงไปอีกครั้ง เมื่อ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ได้บอลหลุดไปทั่งริมกรอบเขตโทษฝั่งขวาก่อนจะหักกลับเข้ามาตรงกลางให้ มาร์ติน โอเดการ์ด ซัดให้ อาร์เซนอล ตามตีเสมอเป็น 2-2 ได้อย่างง่ายดายในนาทีที่ 54

การเสียประตูจังหวะนี้จะเห็นได้เลยว่า นอกจากแบ๊กซ้ายอย่าง อเล็กซ์ เตลลิส ที่ทำตัวเป็นบ่อน้ำมันแทบทั้งเกมแล้ว มิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง เฟร็ด ก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน หลังปล่อยให้ โอเดการ์ด วิ่งตัวเปล่าเข้าไปกางมุ้งรอในกรอบเขตโทษเสียอย่างนั้น

แต่สุดท้าย มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล ก็แก้ตัวได้สำเร็จ เมื่อมาเรียกจุดโทษให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จากการโดน โอเดการ์ด หวดคว่ำในเขตโทษ และก็เป็น โรนัลโด ที่สังหารเข้าไปเป็นประตูชัย 3-2 ให้ อสูรแดง ได้สำเร็จในนาทีที่ 70 รวมทั้งยังทำให้พวกเขากลับมาคว้าชัยในลีกได้เป็นเกมแรกในรอบ 4 นัด

สิ่งที่น่าชื่นชมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้ คาร์ริค ที่ปลุกใจลูกทีมมาได้เป็นอย่างดีจนทำให้นักเตะทุกคนพร้อมใจกันวิ่งบีบเข้าใส่นักเตะอาร์เซนอลแทบตลอดทั้งเกม หรือ บางทีที่วิ่งกันลืมตายขนาดนี้อาจเป็นเพราะนักเตะเจ้าถิ่นอยากจะสร้างความประทับใจให้กับนายใหม่อย่าง ราล์ฟ รังนิก ที่เข้ามานั่งชมเกมอยู่บนอัฒจันทร์ก็เป็นได้

ส่วนเรื่องที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ให้ รังนิก ต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยด่วนก็คือเกมรับที่ยังรั่วเป็นเขื่อนผุเหมือนเดิม โดยหลังโดน อาร์เซนอล กระทุ้งไปอีก 2 ตุงทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนระเบิดตาข่ายไปแล้วถึง 24 ประตูจากการลงเล่นแค่ 14 นัดในลีก และมีผลต่างประตูได้เสียอยู่ที่ 0 ประตูพอดิบพอดี

ขณะที่การรับส่งบอลก็ยังคงเป็นปัญหา ต่อบอลกันได้ไม่พี่จังหวะก็เสีย โดยเฉพาะมิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง เฟร็ด ที่ยังคงจ่ายบอลมั่วซั่วเหมือนเดิม แต่ก็ยังพอกล้อมแกล้มไปได้เพราะทำไป 1 แอสซิสต์ และยังเรียกจุดโทษให้ทีมได้อีกต่างหาก

หลังจบเกมกับ “เดอะ กันเนอร์ส” คาร์ริค ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งโค้ชทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทันที และนับเป็นการปิดฉากช่วงเวลากว่า 15 ปี ใน “โรงละครแห่งความฝัน” ทั้งในฐานะนักเตะ และโค้ชของเจ้าตัวอีกด้วย

คาร์ริค เผยว่า หลังจากทบทวนมาเป็นอย่างดี เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องโบกมือลาบ้านหลังที่ 2 อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งส่วนตัว แท ยอน ก็มองว่า “เฮียไมค์” เลือกอำลา แมนฯ ยูไนเต็ด ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วเพราะหากขืนทู่ซี้อยู่กับทีมต่อไปก็คงอดรู้สึกผิดกับลูกพี่เก่าอย่าง โอเล กุนนาร์ โซลชา ที่โดนเด้งตกเก้าอี้ไปก่อนหน้านี้ไม่ได้

ดังนั้นการลาออกหลังชัยชนะสวย ๆ เหนือคู่ปรับเก่าอย่าง อาร์เซนอล จึงถือเป็นทางลงที่สวยงามที่สุดสำหรับ คาร์ริค แล้ว และในฐานะแฟนบอลผีแดงคนหนึ่งก็คงต้องกล่าวขอบคุณ อดีตห้องเครื่องจอมคลาสสิกรายนี้สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ตลอดมาทั้งในฐานะนักเตะ และโค้ช…

แท ยอน