นางสาวธีราพร ธีรทีป ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสินค้าอาหารสด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคเนื้อวัวคุณภาพสูงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป ต่างให้ความไว้วางใจกับการเลือกซื้อเนื้อวัวที่วางจำหน่ายในสาขาของแม็คโคร เพราะคุณภาพและความหลากหลาย โดยเฉพาะเนื้อโคขุนจากเกษตรกรไทยที่ได้รับการยอมรับไม่แพ้เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศ และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แม็คโคร จึงร่วมกับ กรมปศุสัตว์ พัฒนาเนื้อโคขุนหลากหลายสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาเนื้อวัวคุณภาพสูงจากฝูงโคนม โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน พร้อมด้วย บริษัท พรีเมี่ยมบีฟ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งเป็นการผนึกกำลังช่วยเหลือส่งเสริมเกษตรกรไทยให้มีอาชีพที่มั่นคงและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
“โครงการนี้เป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และกลุ่มเอสเอ็มอีผู้ผลิตอย่าง พรีเมี่ยมบีฟ ในการพัฒนาโคเนื้อคุณภาพสูงให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน โดยผ่านกระบวนการเลี้ยงขุนในฟาร์มและผลิตในโรงงานผลิตที่ได้รับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ รวมถึงการทำการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกร ผ่านสาขาของแม็คโคร ซึ่งจะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10,000-20,000 บาทต่อตัว”
ในปัจจุบันการเลี้ยงโคนมประสบปัญหา เรื่องการเกิดใหม่ของลูกวัวเพศผู้ ที่ไม่สามารถให้นมได้ รวมถึงโคนมเพศเมียที่มีปัญหาเรื่องการให้นมน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ทำให้เกษตรกรหยุดเลี้ยงและขายออกให้พ่อค้าคนกลาง หรือตลาดล่างในราคาที่ต่ำ ซึ่งโครงการนี้จะเข้าไปพัฒนาคุณภาพเนื้อวัวคุณภาพสูงจากฝูงโคนม โดยนำคุณลักษณะเด่นของโคนมที่มีเลือดสายพันธุ์เมืองหนาวสูง (สายพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเซี่ยน) ทำให้เนื้อวัวมีความละเอียดหอมนุ่มเป็นธรรมชาติตามคุณลักษณะของสายพันธุ์เมืองหนาว เมื่อนำมาพัฒนาต่อยอดด้วยการเลี้ยงแบบขุนด้วยธัญพืชที่มีคุณภาพ จะช่วยพัฒนาเนื้อจากโคนมให้มีคุณภาพดี มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
“สิ่งที่ผู้บริโภคนิยมเนื้อโคขุนไทยมากขึ้นและกลายเป็นกระแสดังในโลกออนไลน์ เนื่องจากมีกลิ่นหอม และรสชาติที่เข้มข้น นิยมนำมาบริโภคในหลายเมนู อาทิ สเต๊ก บาบีคิว สตูว์ ปิ้งย่าง ชาบู ซึ่งแม็คโครได้สนับสนุนและพัฒนาผลผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุน 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย บราห์มัน, ลูกผสมชาโรเลย์, วัวนมขุน, ลูกผสมไทย-แองกัส, และลูกผสม ไทย-วากิว ภายใต้แบรนด์ ‘โปรบุชเชอร์’ ครอบคลุมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนไทยมากกว่า 10,000 ครัวเรือน ตอกย้ำการเป็น Beef destination ที่ลูกค้าพูดถึงเรา” นางสาวธีราพร กล่าวทิ้งท้าย