เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 4 พ.ย. 67 นายศุภกร อนันตรักษ์ ป้องกันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย อส. และเจ้าหน้าที่ปกครองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พากันเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นในการตรวจค้นรถสินค้าแล้วเรียกรับเงินจำนวน 2.5 แสนบาทเมื่อกลางดึกวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา เหตุเกิดบนถนนพหลโยธิน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

โดยนายศุภกร เปิดเผยว่า ขณะที่พวกตนปฎิบัติหน้าที่ตรวจพื้นที่สถานบันเทิงย่างอำเภออุทัย ได้มีกลุ่มชายซึ่งทราบชื่อภายหลังทั้งหมดแล้ว อ้างเป็นพนักงานของรัฐติดตามเรื่องยาเสพติด กำลังจะไปดักจับ จึงขอกำลัง อส. ไปส่วนหนึ่ง จนกระทั่งพบรถสินค้าดังกล่าวมา เมื่อทำการตรวจค้นแล้ว ปรากฏว่าไม่พบยาเสพติด พวกตน และ อส. ที่ร่วมกันค้นจึงได้ปล่อยรถดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าระหว่างการตรวจค้นนั้นกลุ่มชายดังกล่าวมีการเจรจาอะไรกับใครอย่างไร จนกระทั่งทราบว่ามีผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ตนจึงได้มาแจ้งความเพื่อให้ดำเนินการกับกลุ่มชายดังกล่าวจำนวน 6 คน ซึ่งตนกับพวกไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ป้องกันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เผยต่อว่า ทั้งนี้เหตุที่ทำให้เชื่อถือชายกลุ่มดังกล่าวนั้น เนื่องจากแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐ และเห็นทั้งหมดไปร่วมในการตรวจค้นทั้งงานของปกครอง และตำรวจ จึงไม่ได้สงสัยคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง ซึ่งขณะนี้ตรวจสอบประวัติพบว่าทั้งหมด เคยมีคดีแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และเรียกรับเงินด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดูกล้องวงจรปิด และติดตามเส้นทางการเงินของคนทั้งหมด โดยเบื้องต้นได้ชื่อทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะได้ตัวเร็วๆ นี้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผวจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า หลังจากที่รับรายงานและทราบข่าวได้เรียกนายศุภกร ป้องกันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่ อส. ทั้งหมดประมาณ 17 คนมาสอบถามข้อเท็จจริง จนทราบว่าทั้งหมดถูกกลุ่มชายดังกล่าวแอบอ้าง ชักชวนไปโดยอ้างว่ามีรถบรรทุกยาเสพติดวิ่งผ่านถนนพหลโยธิน เขต อ.วังน้อย จึงแบ่งกำลังไปช่วยตรวจค้นรถบรรทุกจำนวน 2 คัน แต่เมื่อไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จึงปล่อยรถดังกล่าว แล้วแยกย้ายกันกลับ โดยไม่ทราบว่ามีการเรียกรับเงิน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ได้แต่งตั้งนายเดชาธร เชาว์เลขา รักษาการปลัดจังหวัดฯ เป็นประธานการสอบสวนข้อเท็จจริง และสั่งย้ายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดไปช่วยราชการที่อื่นเป็นการชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ได้ประสานกับทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฯในการเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง และดูเส้นทางการเงินของบุคคลที่แอบอ้าง ซึ่งได้ชื่อมาทั้งหมดแล้ว และทั้งหมดไม่ได้เป็นข้าราชการ อีกทั้งหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นผู้ที่เคยมีคดีแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกรับเงินด้วย ซึ่งตนต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงาน หากมีความผิดก็ว่ากันไป ซึ่งจะไม่เห็นแก่ “เทวดาหน้าไหน” ทั้งสิ้น.