เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ดร. ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ได้ให้ความเห็นว่า ในฐานะคนไทยที่มีหัวใจรักชาติรักแผ่นดินคนหนึ่ง หลังจากได้ฟังรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้ความเห็นกับสื่อมวลชน กรณี MOU 2544 และ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า “ขออย่าให้ขยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องของการยึดดินแดนหรือเสียดินแดน เพราะนั่นเท่ากับเป็นการคลั่งชาติ ที่มาทำลายผลประโยชน์ที่ประเทศควรจะได้รับ”

ตนเห็นว่าการที่นายภูมิธรรม ได้ออกมาแสดงความเห็นด้วยถ้อยคำเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลดีต่อ สังคมไทยที่กำลังให้ความสนใจกับเรื่องของเกาะกูด และแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้เลย ตนเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นคนไทย อยู่บนผืนแผ่นดินไทย โดยพื้นฐานก็ย่อมมีความรักและห่วงใยประเทศชาติด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าแต่ละคนอาจจะมีช่องทางและโอกาสในการแสดงความเห็นที่แตกต่างกัน การแสดงออก ให้ความเห็นตามเหตุและผลที่เป็นจริงของประชาชน จึงเป็นความห่วงใยชาติบ้านเมือง ที่ไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนดังเช่นกรณีเขาพระวิหาร ที่เราเคยเสียดินแดนให้กับกัมพูชามาแล้วในอดีต ไม่ใช่เป็นการคลั่งชาติอย่างที่นายภูมิธรรมกล่าว

จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม ได้ลองกลับไปทบทวนให้ดี ก่อนที่จะเดินหน้าเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์กับกัมพูชา ว่าการทำ MOU เมื่อปี 2544 โดยยอมให้นำทรัพยากรในเขตพื้นที่ที่อ้างว่าทับซ้อน ซึ่งยังไม่ได้มีข้อตกลงให้แล้วเสร็จ มาแบ่งปันกับกัมพูชานั้น เท่ากับว่าไทยได้ยอมรับความมีอยู่จริงของเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดของไทยโดยไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายสากล ซึ่งนั่นเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับกัมพูชาโดยแท้ หากในอนาคตมีการเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเลด้วยการใช้ข้อตกลงภายใต้ MOU ฉบับนี้ไปเป็นหลักฐาน หรือเป็นข้อพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ โดยอ้างสิทธิ์เพื่อให้เส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาขีดลากผ่านเกาะกูดนี้ เป็นเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ก็จะนำไปสู่การเสียดินแดนของไทยในที่สุด ตนจึงเห็นว่า ทั้งพื้นที่ที่อ้างว่าทับซ้อน (OCA) และ MOU 2544 ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ เปรียบเสมือนกับดักที่นำไปสู่การเสียดินแดนของไทยในอนาคต

จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุด เพื่อไม่ให้มีการเจรจายอมตกลงแบ่งปันทรัพยากรใดๆ กับกัมพูชาในพื้นที่ที่อ้างว่าทับซ้อนจำนวน 26,400 ตารางกิโลเมตรนี้ และจะต้องตั้งทีมเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างกันให้แล้วเสร็จเสียก่อน หากไทยยอมตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ทรัพยากรในพื้นที่ที่อ้างว่าทับซ้อนตาม MOU นี้ ก่อนการเจรจาแบ่งเขตแดนจะแล้วเสร็จ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลกำลังจะนำพาประเทศไปสู่ความหายนะ เป็นภาระอันใหญ่หลวงให้กับลูกหลานไทยในอนาคต และเป็นการฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการที่ได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทยไว้แล้วเมื่อปี พ.ศ.2516 โดยยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา เมื่อปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) และไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2511

นอกจากนั้น จะต้องประกาศยกเลิก MOU 2544 นี้โดยเร็วที่สุด เพราะ นอกจากจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว หากปล่อยให้เนิ่นนานไป ไทยก็จะยิ่งเสียเปรียบ เนื่องจากในข้อความตาม MOU 2544 นั้น ได้สื่อความหมายไว้อย่างชัดเจนว่า ไทยยอมรับการประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ทั้งที่เป็นการกระทำที่กัมพูชาได้กำหนดแนวเขตของตนเองตามใจชอบ ไม่ได้ขีดเส้นเขตแดนตามหลักกฎหมายสากล คืออนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1958 (พ.ศ. 2501) และอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525)